Piyawat Clinic Signature Hair Treatment

日本
บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

“การรักษาที่เพิ่มทั้งเส้นผมและสมรรถภาพ”

ใครเหมาะที่จะรักษา

  • ผมร่วงผมบางจากพันธุกรรม(AGA: Androgenetic Alopecia)
  • หลังจากปลูกผม(Hair transplantation) เพื่อดูแลทั้งเส้นผมเดิมและเส้นผมที่ปลูกใหม่โดยไม่ต้องกินยา
  • ต้องการหยุดยาที่กินรักษาเส้มผม เช่น Finasterile ซึ่งมีผลข้างเคียง
  • ผมร่วงหลังคลอด
  • ผมร่วงหลังเจ็บป่วย
  • ผมร่วงจากโรคประจำตัว
  • คนที่มีปัญหาจากการรักษาเดิม

รักษาอย่างไร

  • Hair Laser: ไม่เจ็บและปลอดภัยด้วยเครื่องที่ผ่านการรับรองจากUSFDA
  • Mesotherapy: ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ 100%
  • Home-used lotion: ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ 99%
  • Organic Shampoo: ปราศจากที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ซัลเฟต น้ำหอม สารกันบูด
  • ยาบำรุงผลิตจากธรรมชาติ100%
    • Blood tonic: ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดสู่รากผม
    • Tonic capsule: ใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อมจากผลข้างเคียงของยาที่เคยใช้มาก่อน
  • Natural hair spray ลดการระคายเคืองสำหรับคนทำสีผม
  • Hair microscope: เพื่อตรวจดูหนังศีรษะทุกครั้งที่รับการรักษา

ผลการรักษา

  • เห็นผมขึ้นใหม่ด้วยกล้องmicroscope ภายใน 3 สัปดาห์
  • ค่อยๆหยุดยาเคมีที่กินมาก่อนรักษาได้ และฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย
  • กรณีคนไข้ปลูกผมมาแล้ว การรักษาจะช่วยให้ผมที่ปลูกมาโตได้ดีขึ้น พร้อมกับมีผมขึ้นใหม่เพิ่มขึ้น และป้องกันผมเก่าที่มีอยู่บางลง

หากคุณมีปัญหาผมร่วงผมบาง หรือ มีประสบปัญหามีผลข้างเคียงจากการรักษา ลองมาปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและแนวทาการรักษาที่เหมาะสม

Factor of Melasma Treatment Failure

日本
English (Scroll down)
บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

ปัจจัยที่ทำให้การรักษาฝ้าล้มเหลว

ข้อควรรู้ในการดูรักษาฝ้า

  1. ฝ้าเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น การถูกแสงแดด และ ปัจจัยจากภายใน เช่น ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
  2. เนื่องจากการรักษาฝ้าไม่ได้หยุดสาเหตุทั้งหมดของการเกิดฝ้า ดังนั้นจึงยังมีฝ้าขึ้นใหม่ได้ในระหว่างหรือหลังจากการรักษา
  3. ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาฝ้าให้หายขาดได้
  4. การรักษาฝ้าจำเป็นต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ฝ้าค่อยๆจางลง ไม่ใช่การรักษาครั้งเดียวแล้วหาย
  5. การตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับปัจจัยต่างๆเช่น กิจกรรมที่ต้องถูกแดด คุณภาพผิว ฮอร์โมน
  6. ความปลอดภัยในการรักษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การเลือกวิธีการรักษาจึงควรเป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อสุขถาพผิว และสุขภาพร่างกาย

 ปัจจัยที่ทำให้การรักษาฝ้าล้มเหลว

  1. การเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ปัจจุบันการรักษาด้วยเลเซอร์เป็นการรักษาหลัก ร่วมกับการทำทรีตเมนต์ ประสิทธิภาพของเครื่องเลเซอร์และประสบการณ์ของแพทย์มีผลต่อการรักษา
  • เลเซอร์รุ่นเก่า นอกจากจะรักษาฝ้าไม่ค่อยได้ผลแล้วยังมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงสูงกว่า
  • ควรเลือกเครื่องเลเซอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน USFDA เครื่องเลเซอร์ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานมักได้ผลการรักษาต่ำแต่ผลข้างเคียงสูง
  1. การทำทรีตเมนต์หลังเลเซอร์มีความสำคัญในการส่งเสริมให้ผลการรักษาดีขึ้น โดยมักจะมีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) และสารไวท์เทนนิ่ง(Whitening) การไม่ได้รับทรีตเมนต์หรือการเลือกทรีตเมนต์ที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง
  2. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทุกวันมีความจำเป็นสำหรับการรักษาฝ้า เนื่องจากเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆได้ เราจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทุกวัน เช่น Whitening cream, Vitamin C Serum, Sunscreen การละเลยในการดูแลและป้องกันผิวในชีวิตประจำวัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การรักษาฝ้าไม่ได้ผลดี ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการใช้อย่างต่อเนื่อง จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติ
  3. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฝ้าที่ดื้อต่อการรักษาอาจมีสาเหตุจากภายในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน และการไหลเวียนเลือด ฯลฯ การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมให้การรักษาฝ้าได้ผลดีขึ้น เพื่อความปลอดภัยในการใช้อย่างต่อเนื่อง จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติ
  4. การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องตาม4ข้อที่กล่าวมา นอกจากจะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาฝ้าให้ได้ผลดีแล้ว ยังส่งผลให้สุขภาพผิวดีขึ้นด้วย

ที่Piyawat Clinic แพทย์ทุกคนผ่านการเรียนเฉพาะทางด้านผิวหนังและมีประสบการณ์ในการรักษาฝ้า เราใช้เครื่องเลเซอร์รุ่นใหม่ที่ผ่านการรับรองจาก USFDA และใช้สูตรทรีตเทนต์ที่ปรุงเฉพาะสำหรับใช้ในการรักษาฝ้า

 

 

Factor of Melasma Treatment Failure

 

Things you should know about treating blemishes

  1. Melasma is caused by many factors. Both external factors such as exposure to sunlight, and internal factors such as hormonal changes.
  2. Because treating melasma does not stop all causes of pigment. Therefore, new pigment can still occur during or after treatment.
  3. Currently, there is no way to cure melasma completely.
  4. Melasma treatment is not It’s not a one-time treatment. It required treatment every 2-4 weeks regularly.
  5. Melasma in each person is responded to treatment differently, depended on various factors such as daily activities (exposure to the sun), skin quality, and hormones.
  6. Safety is the most important thing. The treatment should be safe for skin and health.

 

Factor of Melasma Treatment Failure

 

  1. Right treatment, good result.

Currently, Laser is the major treatment for melasma. The efficiency of the laser machine and the experience of the doctor affect the treatment result.

  • The older laser machine does not only come with lower efficacy, but also higher side effects such as pigment getting darker.
  • Laser with USFDA approved is highly recommended. It comes with lower side effects.
  • Old laser model and low experience are factors of melasma treatment failure.

 

  1. Post-laser treatment
  • Post-laser treatment is important in promoting better treatment results.
  • The treatments usually contain antioxidants and whitening substances.
  • Without post-laser treatment or selection of inappropriate treatment is a factor of melasma treatment failure.

 

  1. Using skin care products every day is essential for treating melasma.
  • Because we cannot avoid various causes that can stimulate pigment. Therefore, we should use skin care products to protect our skin every day such as Whitening cream, Vitamin C Serum, Sunscreen.
  • Neglecting to care for and protect the skin in daily life is a factor of melasma treatment failure.

 

  1. Dietary supplements
  • Melasma that is resistant to treatment may have internal causes such as hormones and blood circulation, etc.
  • Taking nutritional supplements will help promote better results and reduce the factor of melasma treatment failure.
  • For safety in long term use, natural supplements are highly recommended.
  1. Following the instructions above will not only help treat melasma effectively but will also help make your skin healthier.

At Piyawat Clinic, all doctors have specialized training in Dermatology and have experience in treating melasma. We use a new generation laser machine that is USFDA approved and a treatment formula specifically formulated for treating melasma.

Factor of Melasma Treatment Failure (日本)

ภาษาไทย English
Article by Dr.Piyawat Poomsuwan

Things you should know about treating blemishes

  1. Melasma is caused by many factors. Both external factors such as exposure to sunlight, and internal factors such as hormonal changes.
  2. Because treating melasma does not stop all causes of pigment. Therefore, new pigment can still occur during or after treatment.
  3. Currently, there is no way to cure melasma completely.
  4. Melasma treatment is not It’s not a one-time treatment. It required treatment every 2-4 weeks regularly.
  5. Melasma in each person is responded to treatment differently, depended on various factors such as daily activities (exposure to the sun), skin quality, and hormones.
  6. Safety is the most important thing. The treatment should be safe for skin and health.

MicroBotox

日本
บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ  พญ.ทิวานันท์ พรหมวรานนท์

MicroBotox เพื่อยกกระชับใบหน้าและแก้ปัญหาริ้วรอย

MicroBotox คืออะไร?

MicroBotox คือ เทคนิคการฉีด Botox เป็นตุ่มเล็กๆหลายๆจุด โดยฉีดเข้าไปที่ชั้นหนังแท้ เป็นเทคนิคที่ใช้กันมานานกว่า 20 ปี โดยความเข้มข้นของตัวยาจะน้อยกว่าเทคนิคปกติที่ฉีดกัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาธรรมชาติและหน้าไม่แข็งจนเกินไป

 

MicroBotox รักษาปัญหาใดได้บ้าง?

  • รักษาริ้วรอยและร่องถาวรตื้นๆได้ทั่วใบหน้าและลำคอ
  • ยกกระชับใบหน้า
  • Nefertiti lift (เทคนิคการฉีดเพื่อทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น แก้ปัญหาลำกล้ามเนื้อที่คอ และริ้วรอยที่คอ)
  • รักษาภาวะเหงื่อออกมาก เช่น ที่บริเวณใต้วงแขน
  • รักษาโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคหน้าแดง rosacea, ผิวหนังมัน

 

ข้อดีของ MicroBotox

  • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
  • ผลข้างเคียงน้อย และป้องกันการเกิดหน้าแข็งดูไม่เป็นธรรมชาติ
  • ใช้รักษาในตำแหน่งที่เทคนิคปกติไม่สามารถทำได้
  • แพทย์ผู้มีประสบการณ์สามารถใช้เทคนิคนี้ในการยกกระชับใบหน้าได้

 

ข้อเสียของ MicroBotox

  • ผลการรักษาอยู่ได้สั้นกว่าเทคนิคปกติ โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน
  • ผลการรักษาขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีด

 

ที่ปิยะวัฒน์คลินิก เรามีแพทย์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานในการฉีด Botox ทั้งเทคนิคปกติ และ MicroBotox โดยเราใช้ทั้ง 2 เทคนิคในการฉีดเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติมากที่สุด


Article by Dr. Piyawat POOMSUWAN, Dr. Tiwanan PROMVARANON

MicroBotox Facial lifting and wrinkle treatment

What is MicroBotox?

Microbotox is the administration of multiple microdroplets of botulinum toxin in intradermal plane. Microbotox technique has been used over 20 years. The original microbotox technique use lower concentration of botulinum toxin than the conventional technique for natural looking result and for preventing frozen face appearance,

 

What can MicroBotox be used for?

  • Treat wrinkle and fine line on the whole face and neck.
  • Face lifting.
  • Nefertiti lift (Sharpen Jaw line+ Improve neck band+Reduce neck wrinkle)
  • Treat excessive sweating (Hyperhidrosis) such as underarm sweating.
  • Traet some skin condition such as Rosacea, Seborrhea.

 

What are the advantage of Microbotox?

  • Natural looking appearance.
  • Less side effects and Preventing frozen face appearance.
  • Can be used in area that the conventional technique cannot be injected.
  • Experience doctor can use Microbotox for facial lifting.

What are disadvantage of Microbotox?

  • Shorter effect than the conventional technique. Average effect last 2-3 months
  • The treatment result depends greatly on doctor experience.

At Piyawat clinic, our doctors have long-term experience in both conventional and microbotox technique. We always combine both technique for the best natural looking result.

What Shampoo Should We Use?


English: scroll down
บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

เราจะใช้ยาสระผมอะไรดี?

เนื่องจากหมอได้มีโอกาสดูแลคนไข้ที่มีปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะจำนวนมาก คนไข้จะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับวิธีการดูแลเส้นผมให้สะอาดและสวยงามอยู่เสมอ

คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดคือ ฉันจะใช้ยาสระผมอะไรดี

ยาสระผมไม่เพียงแต่ช่วยทำความสะอาดผิวหนังหนังศีรษะและเส้นผมเป็นหน้าที่หลักเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับสภาพและตกแต่งเส้นผมให้สวยงาม และยาสระผมบางชนิดยังทำหน้าที่เสริมในการรักษาความผิดปกติของหนังศีรษะต่างๆ ส่วนผสมต่างๆจึงถูกคัดสรรมาผสมลงในแชมพู เพื่อให้ได้แชมพูที่มีคุณสมบัติที่ต้องการ

ยาสระผมที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร

  1. ช่วยลดหรือบรรเทาอาการผมร่วง
  2. ช่วยลดการระคายเคืองที่หนังศีรษะ
  3. สามารถใช้ได้ในคนที่ทำสีผม
  4. ปราศจากสารที่อาจทำให้เกิดอันตรายในการใช้ระยะยาว
  5. สามารถใช้บ่อยได้ตามต้องการ

เรามีวิธีเลือกยาสระผมอย่างไรเพื่อให้ได้คุณสมบัติเหมือนที่กล่าวมา

  1. ยาสระผมออแกร์นิค(Organic Shampoo)

การเลือกใช้ยาสระผมออร์แกนิคจะช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับสารเคมีปนเปื้อนที่อาจเป็นอันตราย สารเคมีเหล่านี้อาจส่งผลระยะยาวต่อเส้นผม ซึ่งอาจปรากฏในผมบาง แตกหัก หรือศีรษะล้าน

  1. แชมพูบริสุทธิ์(Pure Shampoo)

แชมพูบริสุทธิ์ทำจากส่วนผสมจากธรรมชาติและออร์แกนิค แตกต่างจากแชมพูทั่วไปซึ่งมักประกอบด้วยสารเคมีที่รุนแรง เช่น ซัลเฟตและพาราเบน  Pure Shampoo ผลิตด้วยส่วนผสมจากพืชซึ่งอ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะ

  1. ยาสระผมปราศจากซัลเฟต(Sulfate-free shampoo)

สารซัลเฟตอาจรุนแรงมากเกินไปสำหรับหนังศีรษะของบางคน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและคัน แชมพูที่ปราศจากสารซัลเฟตมักอ่อนโยนกว่ายาสระผมทั่วไป

หากผมของคุณเพิ่งทำสี ทำเคมี หรือคุณมีหนังศีรษะที่บอบบาง แนะนำว่าคุณลองใช้แชมพูที่ปราศจากซัลเฟตเพื่อดูว่าสุขภาพผมของคุณดีขึ้นหรือไม่

  1. ยาสระผมปราศจากสารซิลิโคน (Silicone-free shampoo)

ซิลิโคนสามารถสะสมบนหนังศีรษะและอุดตันรูรากผม อาจทำให้เกิดอาการอักเสบและเป็นสะเก็ด ดังนั้นสูตรปราศจากซิลิโคนจึงสามารถช่วยให้สุขภาพหนังศีรษะโดยรวมดีขึ้นได้ หากคุณมีหนังศีรษะที่บอบบางหรือคัน คุณอาจพบว่าปัญหาบางอย่างดีขึ้นหลังจากใช้แชมพูที่ปราศจากซิลิโคน

  1. ยาสระผมปราศจากสารพาราเบน (Paraben-free shampoo)

พาราเบนนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและความงาม เป็นสารกันบูดที่มีประสิทธิภาพดี แต่พาราเบนมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนและ นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าพาราเบนมีความสัมพันธ์กับการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนต่างๆ ผลิตภัณฑ์ปลอดพาราเบนจึงได้รับความนิยมมากขึ้น

  1. ยาสระผมจากพืช (Vegan Shampoo)

แชมพูวีแกนใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติและไม่มีการทดลองกับสัตว์ แชมพูเหล่านี้มีส่วนผสมจากธรรมชาติหรือออร์แกนิกในปริมาณที่สูงกว่าแชมพูทั่วไปซึ่งดีต่อเส้นผมของคุณ ข้อดีอีกประการหนึ่งของการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมวีแกนก็คือว่ามันเป็นมิตรกับต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

  1. ยาสระผมที่ปราศจากน้ำหอมสังเคราะห์ (No artificial fragrance shampoo)

น้ำหอมสังเคราะห์ (Artificial fragrance or synthetic fragrance) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของการแพ้ยาสระผม ดังนั้นการเลือกใช้ยาสระผมที่ปราศจากน้ำหอมสังเคราะห์จะช่วยลดความเสี่ยงของการแพ้และการระคายเคืองหนังศีรษะ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ประสบปัญหาเรื่องเส้นผมและหนังศีรษะแล้วยังไม่สามารถหายาสระผมที่ถูกใจได้ ลองเลือกใช้ยาสระผมที่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นน่าจะแก้ไขปัญหาของคุณได้

Article by Dr.Piyawat POOMSUWAN

What shampoo should I use?

Patients with or without hair disorders always ask many questions about how to keep their hair looking clean and beautiful.

 What shampoo should I use? is the most common question from patients.

A shampoo not only provides the cleaning of the scalp skin and hair as its primary function, but in addition also serves to condition and beautify hair and acts as an adjunct in the management of various scalp disorders. Various ingredients are selected to be mixed into the shampoo to get the shampoo with the desired properties.

 

What qualities should a good shampoo have?

  1. Help reduce hair loss.
  2. Help reduce irritation.
  3. Can be used by people who dye their hair.
  4. Free from substances that may cause harm in long-term use.
  5. Can be used as often as desired.

How do we choose a shampoo to get the same properties as mentioned above?

These main properties are the recommended properties for choosing a shampoo.

  1. Organic shampoo

Choosing to use organic shampoo will reduce the risk of exposure to potentially harmful chemical contaminants. These chemicals may have a long-term effect on the hair, which may manifest in hair thinning, breakage, or baldness.

 

  1. Pure Shampoo

Pure shampoos are made with natural and organic ingredients. Unlike traditional shampoos, which often contain harsh chemicals like sulphates and parabens, Pure shampoos are formulated with plant-based ingredients that are gentle on your hair and scalp.

 

  1. Sulfate-free shampoo

Sulfates can be harsh on the scalp and may cause irritation and itchiness. Sulfate-free shampoos are usually much milder. If your hair has been recently colored, chemically treated, or you naturally have sensitive scalp, consider trying a sulfate-free shampoo to see if your hair health improves.

 

  1. Silicone-free shampoo

Because silicone can build up on the scalp and suffocate your hair follicles, causing inflammation and persistent flakes. Therefore, silicone-free formula can help improve overall scalp health. If you have a sensitive or itchy scalp, you might find that some of your problems subside after using a silicone-free shampoo.

 

  1. Paraben-free shampoo

Parabens are found in most hair and beauty products. They’re a powerful preservative. Recently, scientists have highlighted some fairly alarming links between parabens and a variety of hormone-related illnesses, leading to a sudden spike in the number of paraben free products.

  1. Vegan Shampoo

Vegan shampoos are formulated using natural ingredients and are not tested on animals. These shampoos contain a higher quantity of natural or organic ingredients which is good for your hair. Another benefit of using vegan hair products is that they are good for the environment as well.

  1. No artificial fragrance shampoo

Artificial fragrance or synthetic fragrance is a common cause of allergy. Therefore, choosing a shampoo that is free of artificial or synthetic fragrances will reduce the risk of allergies and scalp irritation.

 

If you are one of those people who have problems with hair and scalp and still cannot find a shampoo that you like. A shampoo with the properties mentioned above should solve your problem.

Hair Regrow within 3 weeks without pain

บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ พญ.ทิวานันท์ พรหมวรานนท์
English: scroll down

ผมขึ้นภายใน 3 สัปดาห์ด้วยวิธีที่ไม่เจ็บ

ภาวะผมร่วงและผมบางเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยซึ่งทำให้ผู้ป่วยขาดความมั่นใจ จากการศึกษาพบว่าคนที่มีปัญหาผมร่วงและผมบางมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าและมีความวิตกกังวลมากกว่าคนทั่วไป

“การทำให้เส้นผมขึ้นเร็วที่สุดจึงเป็นความปรารถนาของทุกคน”

ปัจจุบันมีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง และได้ผลอย่างไร

  1. Minoxidil lotion (ไมน็อกซิดิล โลชั่น)
  • เป็นการรักษาที่นิยมมากที่สุด
  • ใช้ในการรักษาภาวะผมบางทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยการทาลงบนหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นให้มีผมงอกใหม่ กลไกการออกฤทธิ์ของยายังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
  • ความปลอดภัยสูงแต่ประสิทธิผลการรักษายังต่ำ
  • อัตราผมที่ขึ้นใหม่จากการทา minoxidil lotion ผลการรักษาจะสูงสุดใน 1 ปีแรก หลังจากประสิทธิภาพในการรักษาจะลดลง
  • ใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผมขึ้นใหม่ได้ดี และจะยังคงผลลัพธ์ที่ดีได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง หากหยุดการรักษาเพียง 2-3 เดือน จะเริ่มมีผมร่วงกลับเป็นซ้ำ

 

  1. PRP หรือ Platelet-Rich Plasma
  • เป็นการรักษาด้วยเลือดของผู้ป่วยเอง โดยจะต้องเจาะเลือดจากผู้ที่ต้องการรักษา นำไปผ่านขั้นตอนการปั่นแล้วนำเฉพาะบางส่วนมาฉีดที่หนังศีรษะ
  • PRP ประกอบด้วย growth factor หลายชนิด ซึ่งจากการศึกษาวิจัยมีการสันนิษฐานว่าสามารถช่วยให้ผมงอกใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณ growth factor นั้นลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย
  • PRP มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นผมขึ้นใหม่ในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะยาวยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
  • ผู้ป่วยบางคนเห็นผลลัพธ์จากการรักษาด้วย PRP เพียงเล็กน้อย บางคนอาจไม่เห็นผล
  • ข้อเสียของ PRP คือ ความเจ็บขณะทำการรักษา
  • ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่ ผิวหนังแดง บวม ช้ำ คัน และเจ็บบริเวณที่ฉีด

 

  1. เลเซอร์กระตุ้นเส้นผม (Hair laser)
  • มี 2 ประเภท ได้แก่ home-used equipment และ professional laser
  • Home-used laser เป็นเลเซอร์ที่มีความเข้มต่ำ ลักษณะเป็นหมวกหรือหวี เหมาะกับคนที่มีปัญหาผมบางเล็กน้อย ต้องใช้เลเซอร์ชนิดนี้ทุกวัน วันละ 15 นาที ปกติแล้วแนะนำเป็นการรักษาเสริม ไม่ใช่การรักษาหลัก
  • Professional laser เป็นเลเซอร์ที่ทำโดยแพทย์ เลเซอร์จะทำให้เกิดจุดเล็กๆบนหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม ประสิทธิภาพของการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์และเทคนิคการยิงของแพทย์ ดังนั้นการทำเลเซอร์ชนิดนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

 

  1. เมโสเทอราปี (Mesotherapy)
  • เป็นเทคนิคการนำยาเข้าสู่ผิวหนังหรือหนังศีรษะ
  • ผลลัพธ์ของการรักษาขึ้นอยู่กับตัวยาที่ใช้
  • มียาหลายชนิดที่นำมาใช้ในการกระตุ้นให้เกิดการงอกใหม่ของเส้นผมด้วยวิธี mesotherapy ทั้งนี้ประสิทธิภาพของการรักษามีความแตกต่างกันไปตามแต่ละคลินิก

 

  1. ยาชนิดรับประทาน (Oral medicine)
  • Minoxidil
  • เป็นยาสำหรับรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  • ใช้รักษาภาวะผมบางทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่มีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่
  1. มีขนขึ้นบริเวณใบหน้าและส่วนอื่นของร่างกาย
  2. มีผมร่วงมากขึ้นในช่วง 6 สัปดาห์แรกของการรักษา
  3. ความดันโลหิตต่ำและมีอาการหน้ามืดได้
  4. หัวใจเต้นเร็ว
  • Finasteride
  • Finasteride ยับยั้งการเปลี่ยนจาก testosterone ไปเป็น dihydrotestosterone (ฮอร์โมนเพศชาย)
  • ต้องรออย่างต่ำ 3 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผล
  • ตัวยาไม่ได้ช่วยเรื่องลดผมร่วง แต่จะช่วยกระตุ้นให้มีผมงอกใหม่ หากหยุดยา ผมก็จะร่วงเหมือนเดิม
  • ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย
  1. ความต้องการทางเพศลดลง
  2. เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
  3. ภาวะสับสน
  4. หน้ามืดเวลาลุกขึ้นเปลี่ยนท่าจากท่านอนหรือนั่งเร็วๆ

6.Hebal medicine

  • ยาจากสมุนไพรจะช่วยบำรุงสุขภาพ และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม

 

ที่Piyawat Clinicผู้ป่วยทุกคนสามารถพบผมขึ้นใหม่ภายใน 3 สัปดาห์หลังการรักษา

เราใช้ Fractional hair laser ร่วมกับ Mesotherapy ด้วยยาที่คิดค้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้แพทย์จะให้โลชั่นใส่หนังศีรษะและ ยาจากสมุนไพรสำหรับใช้ที่บ้านทุกวัน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม รวมทั้งปรับสภาพหนังศีรษะและรูขุมขนด้วย

Article by Dr.Piyawat POOMSUWAN  Dr. Tiwanan PROMVARANON

Hair loss and hair thinning are common problems which affect self-esteem. Research shows that individuals suffering from hair loss and hair thinning have higher levels of depression and anxiety than the general population.

“To make new hair grow as fast as possible is everyone’s wish.”

What are the current treatments for hair loss and thinning hair?

  1. Minoxidil Lotion
  • Minoxidil Lotion is the most popular treatment.
  • Minoxidil applied to the scalp is used to stimulate hair growth in adult men and women with a certain type of baldness. The exact way that this medicine works is not known.
  • Topical minoxidil has an excellent safety record but the efficacy of the drug remains low.
  • Hair regrowth with topical minoxidil tends to peak at 1 year with a decline in regrowth over subsequent years.
  • Hair growth usually occurs after the medicine has been used for several months and lasts only as long as the medicine continues to be used. Hair loss will begin again within a few months after minoxidil treatment is stopped.

 

  1. PRP or Platelet-Rich plasma
    • PRP or Platelet-Rich plasma therapy is a medical treatment in which a person’s blood is drawn, processed, and then injected into the scalp.
    • PRP or Platelet-Rich plasma contains a range of growth factors that researchers initially hypothesized that PRP could help regrow hair. The growth factors decrease with patients’ age.
    • PRP shows the short-term effectiveness in supporting hair growth, but the long-term effectiveness remains unclear.
    • Some patients may only see minor improvements, and some may not see the same benefit.
    • The disadvantage of PRP is pain or discomfort during injection.
    • The common side effects are redness, swelling, bruising, itching, and discomfort at injection site.
  2. Hair Laser
  • There are 2 major lasers: home-used equipment and professional laser.
  • Home-used laser is low-level laser treatment, laser cap or comb. Suitable for patients who have mild degree thinning hair. Patients need to use this equipment for 15 minutes every day. Normally it will be used as additional treatment.
  • Professional laser is laser used by doctors. The laser makes tiny dots onto scalp to stimulate hair growth. The efficacy of the treatment depends on the type of laser and the doctor’s technique. So, the laser should be done by experienced doctors.
  1. Mesotherapy
    • Mesotherapy is a technique to deliver treatment solutions into skin or scalp.
    • Treatment result depends on the solutions.
    • There are a lot of solutions for mesotherapy hair growth. Therefore, treatment efficacy varies greatly from clinic to clinic.
  2. Oral Medicine
    • Minoxidil
      • Oral minoxidil is medicine for hypertension.
      • Oral minoxidil can be benefit for male and female pattern hair loss. But there are common side effects.
        1. Excessive hair: excess hair growth elsewhere on the face and body
        2. Temporary hair shedding within 6 weeks.
        3. Low blood pressure and feeling lightheaded.
        4. Fast heart rate.
      • Finasterile
        • Finasterile block the conversion of testosterone to dihydrotestosterone (male hormone).
        • It will take at least 3 months to see an effect.
        • The medicine will not cure hair loss, but it will help scalp hair to grow. Hair will be lost after the medicine is stopped.
        • There are common side effects.
          1. Loss in sexual ability, desire, drive, or performance
          2. Inability to have or keep an erection.
          3. Confusion
          4. Lightheadedness when getting up suddenly from a lying or sitting position.
  1. Herbal Medicine
    • Herbal medicine which helps improve health condition and blood microcirculation can help improve hair growth.

At Piyawat Clinic, all patients can see new hair growth within 3 weeks. We use Fractional hair laser combined with Mesotherapy. Special mesotherapy solutions are formulated by our experienced doctors. Hair lotions and herbal medicine for daily use will be prescribed by our doctors. They will help improve hair growth, hair follicle and scalp condition.

Why Face Lift:  Ulthera, HIFU, Thermage  Doesn’t Work?

บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ พญ.ทิวานันท์ พรหมวรานนท์
English: Scroll down

 

การยกกระชับหน้าไม่ได้ผล!!!

หลายๆคนอาจเจอปัญหานี้ คือ เสียเงินทำหน้าแต่ไม่ได้ผล หน้าไม่ยก ไม่กระชับ หรือบางทีอาจได้ผลดีในครั้งแรก แต่ครั้งต่อๆไปผลการรักษาลดลง หรือไม่ได้ผลเลย

ทำไม เกิดอะไรขึ้น อะไรเป็นสาเหตุ?

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับการทำงานของ Ulthera, HIFU และ Thermage เครื่องยกกระชับเหล่านี้ปล่อยพลังงานออกมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน การเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจน และทำให้เกิดการยกกระชับขึ้นผ่านกระบวนการหายของแผล (Wound healing process) ดังนั้นปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการหายของแผลจึงมีผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาด้วยเครื่องยกกระชับ

ปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการหายของแผล

  • การไหลเวียนของเลือดและการหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยออกซิเจน

การไหลเวียนของเลือดที่ดีทำให้สามารถลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารมายังเนื้อเยื่อปลายทางได้ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของกระบวนการหายของแผล

  • อายุ

หลายการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า อายุที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้การหายของแผลช้าลง

  • ฮอร์โมนเพศ

ฮอร์โมนเพศมีบทบาทกับการบกพร่องในการหายของแผลโดยสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น ในผู้ชายสูงอายุพบว่ามีการหายของแผลช้ากว่าผู้หญิงสูงอายุ แสดงให้เห็นว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง (estrone และ 17B-estradiol), ฮอร์โมนแอนโดรเจนในเพศชาย (testosterone และ 5a-dihydrotestosterone หรือ DHT) และฮอร์โมน dehydroepiandrosterone (DHEA) มีผลต่อกระบวนการหายของแผลอย่างมีนัยสำคัญ

  • ความเครียด

ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพและพฤติกรรมอย่างมาก โรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, และการหายของแผลที่แย่ลง สัมพันธ์กับความเครียดทั้งสิ้น

  • สุขภาพ

ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน, ภาวะนอนไม่หลับ และอื่นๆ ทำให้กระบวนการหายของแผลแย่ลงได้

ทำอย่างไรให้กลุ่มคนไข้ที่มีปัญหาเหล่านี้ยังคงได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากการรักษาด้วยเครื่องยกกระชับ

  • แก้ไขระบบไหลเวียนเลือดและการหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ

ที่Piyawat Clinic แพทย์แนะนำให้ทาน Blood tonic ซึ่งเป็นอาหารเสริมจากธรรมชาติ 100% ช่วยปรับระบบไหลเวียดเลือดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

  • ผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วย Ulthera หรือ Hifu ที่Piyawat Clinic จะได้รับ Blood tonic โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • สำหรับผู้สูงอายุ คนที่มีปัญหาฮอร์โมนต่ำ หรือคนที่มีปัญหาสุขภาพ

เราแก้ไขโดยการอาหารเสริมสูตรพิเศษ ซึ่งจะช่วยแก้ไขกระบวนการหายของแผล ทำให้กระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการยกกระชับผิวที่ดีขึ้น

  • สำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วย Ulthera หรือ Hifu จะได้ทำทรีทเม้นท์นี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
  • สำหรับคนที่มีภาวะนอนไม่หลับ มีความเครียด

นอกจากอาหารเสริมสูตรพิเศษแล้ว ในผู้เข้ารับการรักษาที่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ หรือมีภาวะเครียด แพทย์จะจ่ายยาสมุนไพรที่ช่วยแก้ไขภาวะเหล่านี้ด้วย

  • จำนวน shot ที่ใช้ในการรักษา และเทคนิคการยิง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ
  • จำนวน shot ที่ใช้ จะแตกต่างกันในแต่ละคน หน้าซีกขวาและซ้ายในคนเดียวกันอาจต้องใช้จำนวน shot ที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้น “การไม่จำกัดจำนวน shot ในการรักษา” จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด
  • เทคนิคการยิง มีบทบาทสำคัญต่อผลลัพธ์จากการรักษา ใบหน้าแต่ละคนย่อมมีปัญหาที่แตกต่างกัน การออกแบบเทคนิคการยิงให้เหมาะสมกับแต่ละคนจึงจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

“ถ้าคุณเคยประสบกับปัญหาการรักษาด้วยการยกกระชับไม่ได้ผล หรือถ้าคุณมีปัญหาทางสุขภาพที่ส่งผลต่อผลลัพธ์จากการรักษา แนะนำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ปิยะวัฒน์คลินิกเพื่อการรักษาที่เหมาะสม”

Article by DR.Piyawat POOMSUWAN  DR.Tiwanan PROMVARANON

Face Lift doesn’t work!!!

Many people may face this problem, which is losing money to do Ulthera, Hifu or Thermage. But it doesn’t work. The face doesn’t lift, doesn’t tighten. Or perhaps it works well the first time. But the next time the treatment effect decreases or does not work at all.

What happened? Why didn’t Face Lift work?

First of all, we have to know how Ulthera, Hifu or Thermage work. Basically, Ulthera, HIFU, Thermage emit energy to stimulate collagen synthesis, skin remodelling and lifting by wound healing process. Therefore, the factor affecting the wound healing process will have an effect on the effectiveness of the treatment.

Factor affecting would healing process

  • Blood circulation and oxygenation

Blood circulation delivers oxygen and nutrients which are major factors for would healing process

  • Age

Many studies showed increased age is a major risk factor for impaired wound healing.

  • Sex Hormone

Sex hormones play a role in age-related wound-healing deficits. Compared with aged females, aged males have been shown to have delayed healing of acute wounds. A partial explanation for this is that the female estrogens (estrone and 17β-estradiol), male androgens (testosterone and 5α-dihydrotestosterone, DHT), and their steroid precursor dehydroepiandrosterone (DHEA) appear to have significant effects on the wound-healing process.

  • Stress

Stress has a great impact on human health and social behavior. Many diseases—such as cardiovascular disease, cancer, compromised wound healing, and diabetes—are associated with stress.

  • Health condition

Health problems such as diabetes, insomnia and other health problems show impairment of wound healing process.

How to improve treatment result in these people with problems?

  • Improve blood circulation and oxygennation by natural supplements. At Piyawat Clinic, doctor will prescribe “Blood Tonic”. It is 100% natural that helps improve blood circulation. Blood Tonic is free for Ulthera or HIFU treatment.
  • For elderly people, people with low hormones, or people with health problems, we improve wound healing by stem cell treatment and special-blended supplement. These will help improve wound healing process that effect collagen synthesis, skin tightening and skin lifting. Stem cell treatment and special-blended supplement are free of charge for Ulthera and HIFU treatment.
  • For Insomnia and stress, if need, doctor will prescribe herbal medicine to improve the problem. Stem cell treatment and special-blended supplement will be used to improve the skin too.
  • Treatment shots and technique are also very important aspect.
    • Treatment shots are needed vary in each individual. Left side and right side of each one also requires different number of shots. So “unlimited treatment shots” should be the best choice for the best result.
    • Treatment technique plays an important role in the treatment outcome. Each person has different facial problem.  Treatment technique designed for individual problem will get the maximum result.

If you have experience that face Lift didn’t work well or if you have any factors which may affect the treatment outcome, please consult our doctor for proper treatment.

Low Fluence Q-switched Nd:YAG laser for Melasma Treatment

บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ พญ.สุพิชา คงทอง

   

English: Scroll down

การใช้ เลเซอร์คิวสวิช (Q-switched Nd:YAG) ในการรักษาฝ้า

ฝ้าเป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่งบริเวณ ใบหน้า โดยเฉพาะโหนกแก้มทั้งสองข้าง เหนือริมฝีปาก หน้าผาก หรืออาจพบได้บริเวณตัวที่แขนทั้งสองข้าง

 

จากการศึกษาพบว่า ฝ้าส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และความมั่นใจของผู้หญิงอย่างมีนัยสำคัญ หลายคนรู้สึกหงุดหงิดกับฝ้าบนใบหน้ามากกว่าการเกิดขึ้นบริเวณส่วนใดๆของร่างกาย

 

เลเซอร์คิวสวิช (Q-switched Nd:YAG) เป็นเครื่องที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการรักษาสีผิวผิดปกติต่างๆบนผิวหนังชั้นลึกและตื้น และมีการเผยแพร่ความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับ เลเซอร์ Q-switched Nd:YAG ดังนี้

 

  1. เทคนิคการรักษาด้วยเลเซอร์คิวสวิช (Q-switched Nd:YAG) โหมดพลังงานต่ำที่มีในเครื่องรุ่นใหม่ๆ สามารถช่วยทำให้คุณภาพผิว และฝ้าดีขึ้นได้
  2. เทคนิคการรักษาด้วยเลเซอร์คิวสวิช (Q-switched Nd:YAG) โหมดพลังงานต่ำ ใช้การยิงเพิ่มจำนวนครั้งที่เหมาะสม และปรับขนาดลำแสงเลซอร์ใหญ่ เป็นเทคนิคการรักษาที่เหมาะสมสำหรับฝ้า
  3. เทคนิคการรักษาด้วยเลเซอร์คิวสวิช (Q-switched Nd:YAG) สามารถรักษาฝ้าที่ดื้อต่อการรักษาอื่น ๆได้
  4. เทคนิคการรักษาด้วยเลเซอร์คิวสวิช (Q-switched Nd:YAG) โหมดพลังงานต่ำช่วยให้การรักษาได้ผลดีโดยไม่มีผลข้างเคียง
  5. การรักษาฝ้าด้วยเลซอร์อย่างต่อเนื่องจะได้ผลการรักษาที่ดี
  6. การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์รุ่นใหม่ได้ผลการรักษาดี แต่ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยจากการสัมผัสแสงแดด และฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นการรักษาฝ้าต้องอาศัยการรักษาแบบสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดฝ้าขึ้นมาใหม่ และปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดีขึ้น
  7. การทำทรีตเมนต์ด้วยวิตามินร่วมกับการใช้เลเซอร์สามารถทำให้ผลการรักษาดีขึ้นได้
  8. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การใช้กันแดด และไวเทนนิ่งครีม การใช้ทุกวันจะช่วยป้องกันการเข้มขึ้นของเม็ดสี และช่วยให้คุณภาพผิวดีขึ้น

 

         ที่Piyawat Clinic เราทำการรักษาโดยอ้างอิงตามงานวิจัย เราใช้เครื่องเลเซอร์รุ่นใหม่ที่ผ่านการรับรอง จากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา(USFDA) โดยทำการฟื้นฟูผิวทั่วหน้าด้วย Toning laser และใช้เทคนิคการรักษาด้วยเลเซอร์คิวสวิช (Q-switched Nd:YAG)  โหมดพลังงานต่ำร่วมกับการใช้ วิตามินรวม และสารไวท์เทนนิ่งจากธรรมชาติรักษา ช่วยให้ฝ้าจากลงได้ดีพร้อมกับคุณภาพผิวที่ดีขึ้น

Article by DR.Piyawat POOMSUWAN DR.Supicha KONGTHONG

Melasma is one of the most common skin disorders. The word means “black spot. Commonly affected areas include your face, including the cheeks, upper lip, and forehead, as well as the forearms.

 

Studies shows the women with melasma had a significant negative impact on their quality of life and self-esteem. Several said they were frustrated that melasma occurred on their faces versus other less obvious places on their bodies. Some admitted being obsessed about their melasma.

 

The Q-switched Nd:YAG laser is an established modality of treatment for epidermal and dermal pigmented lesions. These are update aspects of Q switch Laser for melasma treatment from studies published in journals.

  1. Low fluence Q switch laser toning helps improve skin quality and melasma. This toning collimated beam is generated by a special handpiece come with new laser model.
  2. Low fluence Q-switched Nd:YAG laser utilizing the multi-pass technique with a large spot size has been suggested as a modality to treat melasma.
  3. Low fluence Q-switched Nd:YAG laser technique can be used in resistant cases of melasma.
  4. Low fluence Q-switched Nd:YAG laser technique can get better results without complication.
  5. Generally, multiple treatment sessions are needed for successful outcomes.
  6. High degree of success has been reported. But recurrences can be happened due to daily sun exposed and hormonal change. Therefore, maintenance treatment is highly recommended. The treatment is not only to prevent new pigment but also to improve skin quality.
  7. Multi-vitamin treatment in conjunction with Q switch laser treatment can improve the treatment efficacy.
  8. Daily products such as sunscreen and whitening products are highly recommended. They help protect and improve your skin.

At Piyawat Clinic, we do the same treatment according to the research mentioned. We use the newest model USFDA approved Q-switched Nd:YAG laser. We do laser toning for the whole face. And we do “Low fluence Q-switched Nd:YAG laser technique” combined with “ Multi-vitamin Blend Treatment”. Our customers get improved melasma and skin quality.

Melasma: What are the best treatments?

บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ พญ.สุพิชา กงทอง
日本
English (Scroll down)
ฝ้าคืออะไร ?

       ฝ้าเกิดจากความผิดปกติในการสร้างและการกระจายของเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดปื้นสีน้ำตาล หรือเทา มักเกิดบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม จมูก หรือเหนือริมฝีปากบน และมักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ถึงแม้การมีฝ้าจะไม่ได้ทำอันตรายกับร่างกาย แต่อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ กังวล และกระทบบุคลิกภาพและความงามได้

สาเหตุของฝ้าคืออะไร ?

         ในปัจจุบันเรายังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดฝ้า แต่พบปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดฝ้า เช่น ปัจจัยทางพันธุ์กรรม และสิ่งแวดล้อม

         การถูกรังสียูวีจากแดด การตั้งครรภ์ การทานยาคุม การทานยาปรับฮอร์โมน การทานหรือทายาที่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ส่วนประกอบในเครื่องสำอางค์ และยาบางชนิด ก็สามารถก่อให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน

ฝ้าสามารถป้องกันได้หรือไม่ ?

ฝ้าสามารถป้องกันได้ โดยการเลี่ยงแสงแดด การใช้ครีมกันแดดที่มีความสามารถในการกันแสงยูวีบี ยูวีเอ (High-SPF, PA+++) อย่างสม่ำเสมอ และการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มยับยั้งการสร้างเม็ดสี ที่ ช่วยลดความเสี่ยงที่ฝ้าจะเข้มขึ้น และลดการกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษาอีกด้วย

การรักษาฝ้าทำได้อย่างไรบ้าง ?

ฝ้ามีวิธีในการรักษาได้หลากหลายวิธี จะ เลือกวิธีใดนั้น อาจขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพ รวมถึงการพิจารณาผลดีและผลเสียของแต่ละวิธี ในที่นี้เราจะอธิบายการรักษาเป็นสองอย่างหลักๆ คือ การรักษาจากภายนอก และการรักษาจากภายใน

การรักษาจากภายนอก

       1. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ต้องใช้ทุกวัน : เน้นการทาสม่ำเสมอทุกวัน เนื่องจากในชีวิตประจำวันเราต้องสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้นฝ้าที่มาจากภายนอก และภายในร่างกายของเราทุกวัน โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แก่

  • ครีมกันแดด สามารถปกป้องผิวของเราจากการโดนทำร้ายจากแสงแดด โดยที่แสงแดดสามารถกระตุ้นเม็ดสี ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น และยังทำร้ายผิวหนัง เราควรทากันแดดทุกวัน และเลือกกันแดดที่เกาะกับผิวหน้าได้ดี เพื่อไม่ให้ประสิทธิภาพลดลงจาการโดนชะล้างด้วยเหงื่อ และน้ำ ระหว่างวัน
  • ครีมที่มีส่วนประกอบของสารยับยั้งการสร้างเม็ดสี สารที่นิยมใช้ในกลุ่มนี้ได้แก่ วิตามินเอ และอนุพันธ์จากวิตามิน เอ, ไฮโดรควิโนน, สเตอรอยด์, อะซิลีเอค แอซิด, ทรานิซามิก แอซิด และเอ เอช เอ สารในกลุ่มนี้มักออกฤทธิ์ได้ดี แต่อาจทำให้ระคายเคือง และไม่ควรใช้ในสตรีมีครรภ์
  • ครีมที่ทำให้ผิวขาวจากธรรมชาติ เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยม ซึ่งในปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติได้รับการวิจัยและพัฒนาให้เข้ามาแทนที่สารเคมีที่อาจมีผลกระทบไม่ดีต่อร่างกาย สารออกฤทธิ์ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีประสิทธิภาพดีและปลอดภัย เช่น สารสกัดจากมะเขือเทศ สารสกัดมะหาด สารสกัดจากชะเอมเทศ วิตามิน ซีจากธรรมชาติ สารสกัดมะขามป้อม

2. สารเคมีที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว

          เป็นที่นิยมใช้มาอย่างยาวนาน ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวสว่างขึ้น แต่เม็ดสีอาจกลับมาซ้ำในภายหลัง

3. การรักษาด้วยวิตามินรวมจากธรรมชาติ

        ช่วยลดปัญหาเม็ดสีได้ ลดการเกิดฝ้าซ้ำ และเนื่องจากการสัมผัสกับสารเคมีที่ระคายเคืองทำให้ฝ้าแย่ลงได้ การใช้วิตามินในกลุ่มนี้ควบคู่ในการรักษาจึงมีความสำคัญ

4. เดอร์ม่า สแตมป์

เป็นวิธีที่ใช้เข็มขนาดเล็กลงไปกระตุ้นผิว ช่วยให้ความผิดปกติของสีผิวดีขี้น ลดขนาดรูขุมขน และหลุมสิวบนหน้าได้  เครื่องมือ เดอร์ม่า สแตมป์รุ่นใหม่ๆ สามารถปรับความยาวของเข็มได้ซึ่งทำให้ผลการรักษาดีขึ้น

5. เลเซอร์กำจัดเม็ดสี

      เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับต้นๆในการรักษาฝ้า โดยปัจจุบันที่มีเลเซอร์หลายรูปแบบ  เลเซอร์รุ่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อทดแทนรุ่นเก่า ซึ่งนอกจากจะกำจัดเม็ดสีได้ยังทำให้คุณภาพผิวดีขึ้นอีกด้วย ปิยวัฒน์ คลีนิค บริการคุณด้วยเลเซอร์รุ่นใหม่ที่สุดที่ผ่านมาตรฐานองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถมั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความปลอดภัย

การรักษาจากภายใน

เนื่องจาก ฮอร์โมน และ อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้เม็ดสีทำงานผิดปกติมากขี้น ฝ้าแย่ลง ดังนั้นการใช้อาหารเสริมและยาบางชนิดอาจะช่วยได้

1. ทรานิซามิก แอซิด

         เป็นยาเพิ่มการแข็งตัวของเลือด ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาให้ใช้ใสคนที่ประจำเดือนมามากผิดปกติ และป้องกันเลือดออกมากเกินไปในผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย อีกทั้งยาตัวนี้ได้รับการใช้ในการรักษาฝ้า และโรคเม็ดสีเข้มผิดปกติอื่นๆ ในโรงผิวหนัง

แต่อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดแข็งตัวผิดปกติ เช่น เส้นเลือดอุดตันในสมอง การมองเห็นลดลง และเส้นเลือดขาอุดตันได้ ถึงแม้จะเกิดน้อยก็ตาม

2. อาหารเสริมจากธรรมชาติ

เป็นการรักษาที่ทางคลีนิคแนะนำมากกว่าการใช้สารเคมี มีสารที่ได้จากธรรมชาติหลายตัวที่มีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดี โดยที่ปิยวัฒน์คลีนิค  เรามีจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100% ในชื่อ Blood tonic ซึ่งช่วยเรื่องเม็ดสีผิดปกติ ทำให้ผิวและผมมีสุขภาพดี

“ ฝ้า เกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ควรรักษาทั้งปัจจัยจากภายนอกและภายในควบคู่กันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด”

Melasma is a pigmentation disorder of the skin mostly affecting women. It is a patchy dark brown or grayish discoloration of the skin on the face, such as the cheeks, nose, upper lip, and forehead. Melasma is not physically harmful, but it can lead to psychological problems and emotional well-being because it affects personal appearance.

Article by Dr.Piyawat POOMSUWAN  Dr.Supicha KONGTHONG

What is the cause of melasma?

The exact etiology of melasma is unknown. External and Internal factors affect the pigment.  Genetic predisposition and environmental factors have been associated with the development of this condition. Exposure to ultraviolet (UV) radiation, pregnancy, oral contraceptives, hormonal therapy, phototoxic drugs, cosmetics and medications are all considered potential risk factors for melasma.

Can Melasma be prevented?

Melasma cannot be fully prevented. Avoiding sun exposure, regular using high-SPF sunscreens and whitening products help protect against melasma flares and reduce their recurrence after treatment.

How is melasma treated?

There are many methods used to treat melasma. Each has different efficacy and has pros and cons. Here we will separate two main topics: External care and Internal care.

External care

  1. Daily topical products are important in pigment care because we expose to internal and external factor everyday.
  • Sunscreen can protect us from sun light. The sun light can stimulate pigment and destroy our skin. We should apply sun screen everyday. Sun screen formula that can attach well on skin is highly recommend because it will not dissolve out by sweat.
  • Chemical whitening agents are widely used such as retinoic acid (Vitamin A), Hydroquinone, corticosteroid, azelaic acid, tranexamic acid, tretinoin, and alpha hydroxy acid. These products are effective, but they can cause dermatitis and some should not be used during pregnancy.
  • Natural whitening agents are very popular nowadays. The natural products are researched and developed to replace chemical substances that may affect our health. There are natural active ingredients scientifically proved to be safe and effective. The well-known agents are tomato extract, artocarpus lacucha extract, licorice root extract, natural vitamin C, and Phyllanthus Emblica fruit extract.
  1. Chemical peeling is a basic treatment for long time. It helps peel out and brighten superficial skin. But the pigment will come back again.
  2. Natural Multivitamin Treatment helps improve pigment problem and also protecting melasma recurrence. Because chemical irritation can stimulate pigment, natural multivitamin is highly recommended.
  3. Derma stamp is a method that uses very tiny needle stimulate the skin. It help improve pigment, pore size and pitted (depressed) acne scar. The new model of Derma stamp, which needle length can be adjusted, is more efficient to improve the skin.
  4. Pigment Laser is the 1st priority for melasma treatment. There are many laser models. Newest model laser develops for more effectiveness and correcting unwanted complication from old model. The newest model can improve the pigment and improve skin quality too. Piyawat Clinic serves you with the newest USFDA approved laser with high standards for safety and effectiveness.

Internal care

Internal factors such as hormones and ageing can aggravate the pigment. Therefore, supplements and oral medicine can help improve pigment.

  1. Tranexemic acid

Tranexamic acid is an antifibrinolytic, procoagulant agent approved by the Food and Drug Administration for the treatment of cyclic heavy menstrual bleeding and prevention of bleeding in patients with hemophilia undergoing tooth extraction.

Oral tranexamic acid has been used off-label in dermatology in the treatment of melasma and other hyperpigmentation disorders. Although unlikely, this medication may cause serious blood clot problems such as stroke, vision change and deep vein thrombosis.

 

  1. Natural supplement

Natural supplements are more recommended than chemical ones. There are some natural products that have scientific support to be safe and effective. At Piyawat Clinic, Blood Tonic is 100% natural supplement. It helps improve pigment, skin quality and hair.

 

Melasma is caused by multifactorial factors. Melasma treatment strategy is the combination of internal and external care to achieve the best result.

Long COVID Hair Loss and Sexual Dysfunction

English (Please Scroll down )

コロナの後遺症で起こる
脱毛と性機能障害について

コロナ感染は、感染直後に起こる症状と感染後に日常的な機能に影響する【コロナ後遺症】があります。コロナ感染の成人486,149人の英国データベース分析では12週間後にコロナ感染に関連する62の症状を報告しています。また、この後遺症は、男性よりも女性に多く、年配よりも若い人に見られるという報告もあります。

最も大きな症状は、
1. 嗅覚障害
2. 脱毛
3. くしゃみ
4. 射精困難
5. 性欲減退

 ピヤワットクリニックでは、コロナ禍に、多くの脱毛症患者が来院し、症例の40%~50%は、1~3か月以内にコロナ感染またはワクチン摂取の既往歴がありました。 またコロナ症例の10%が性機能障害または性欲減退を示しました。

コロナ後遺症脱毛症の症状
●コロナ感染後1~3か月(平均2か月)のびまん性脱毛
●通常、かゆみやフケはありません
●毛髪顕微鏡検査では、閉じた毛包が見受けられます
 脱毛は美容面だけでなく、社会的信用、人格、精神状態にも影響を及ぼし、うつ病につながる可能性もあります。

性機能障害の症状
○男性の症状
●勃起不全
●射精困難
●性欲の低下

○女性の症状
●性欲の低下
●膣の乾燥
●性交痛
●オルガスム障害

 性的機能障害は、カップル間の関係に影響を与えます。メンタルヘルスにも影響します。したがって、患者には適切な治療が必要です。


治療方法

脱毛
 ピヤワットクリニックでは、コロナ後遺症による長期脱毛の症例が多数あります。当院のオリジナル療法で患者さんを治療します。
●「ヘアメソセラピー」と組み合わせた「フラクショナルヘアレーザー」。これらは、毛根と頭皮を刺激し、活性化させるのに役立ちます
●100% 漢方薬の「ブラッド トニック」は、血液循環と発毛の改善に役立ちます
●ヘアローションは家庭で使用する製品で、頭皮の状態を改善し、髪の成長を刺激します
 ほとんどの患者さんは、1回目の治療で抜け毛の減少を感じる事ができます。


性機能障害
 ピヤワットクリニックでは、性機能障害を100%漢方薬で治療していきます。症状や問題に合わせて漢方薬を処方します。適切な管理のために医師に相談をしてください。

 

COVID infection is associated with a range of persistent symptoms impacting everyday function, know as post-COVID-19 condition or long COVID. UK-based primary care database analysis of 486,149 adults with COVID infection shows 62 symptoms associated with COVID infection after 12 weeks. Long COVID found in female morethan male and in younger morethan older.


♥️The largest symptoms were♥️
1. Anosmia
2. Hair loss
3. Sneezing
4. ejaculation difficulty
5. reduce libido.


At Piyawat Clinic, during COVID era, there are a lot of patients come with hair loss problem. 40% -50% of cases had history of COVID infection or COVID vaccine injection within 1-3 months. 10% of COVID cases presented with sexual dysfunction or reducing libido.


♦️Long COVID hair loss symptom♦️
✅️ Diffuse hair loss 1-3 months ( average 2 month) after COVID infection.
✅️ Normally there is no itching, no scale.
✅️ Trichoscopy ( hair microscopy) shows closed hair follicle.
Hair loss is not only affected beauty aspect but also affects social confidence, personality, mental status and may lead to depression.

♦️Sexual dysfunction symptom♦️
Male symptom
✅️ Erectile dysfunction
✅️ Ejaculation difficulty
✅️ Low sex drive
Female symptom
✅️ Low sex drive
✅️ Dry vagina
✅️ Dyspareunia(pain during intercourse)
✅️ Orgasmic disorder
Sexual dysfunction affects relationship between couple. It also affect mental health. So patients need proper treatments.

🔷️How to treat🔷️
♦️ Long COVID hair loss♦️
At Piyawat Clinic, we have a lot of long COVID hair loss cases. We treat patients with our signature method.
✅️ “Fractional hair laser” combined with “Hair Mesotherapy”. These will help stimulate and rejuvenate hair root and scalp.
✅️ “Blood Tonic” , 100% herbal medicine, help improve microcirculation and hair growth.
✅️ Hair lotion are home-used products help improve scalp condition and stimulate hair growth.
Most patients get reducing hair loss within 1st treatment.


♦️Sexual dysfunction♦️
At Piyawat Clinic, we treat sexual dysfunction with 100% herbal medicines. Doctor will prescribe herbal medicines according to the patient’s problem and symptoms. Please consult doctor for proper management.