Mechanisms of Hair Stimulation Using Fractional Laser for Androgenetic Alopecia(TH)

กลไกการกระตุ้นเส้นผมด้วย Fractional Laser สำหรับ Androgenetic Alopecia

Androgenetic Alopecia (AGA) หรือภาวะผมบางจากพันธุกรรม เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยทั้งในผู้ชายและผู้หญิง มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนแอนโดรเจนและความไวของรากผมต่อ DHT (dihydrotestosterone) ซึ่งส่งผลให้วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมสั้นลง และรากผมหดเล็กลงเรื่อย ๆ จนเกิดอาการผมบางอย่างเห็นได้ชัด

ในช่วงหลังมานี้ เทคโนโลยีเลเซอร์ โดยเฉพาะ Fractional Laser ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะทางเลือกในการรักษา AGA โดยไม่ใช้ยา เนื่องจากพบว่าเลเซอร์สามารถกระตุ้นให้รากผมที่อ่อนแอฟื้นตัว และกระตุ้นให้เกิดการงอกใหม่ของเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Fractional Laser คืออะไร?

Fractional Laser คือเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานลงไปใต้ผิวหนังเป็นจุดเล็ก ๆ แบบเป็นตาข่าย (fractionated beam) โดยเว้นผิวหนังปกติไว้ระหว่างจุดที่ได้รับพลังงาน ซึ่งจะทำให้เกิดแผลเล็ก ๆ ในระดับไมโครบริเวณที่ยิงเลเซอร์ ส่งผลให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังโดยธรรมชาติ และกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูในระดับเซลล์

ประเภทของ Fractional Laser

เลเซอร์ชนิด Fractional ที่ใช้ในการกระตุ้นเส้นผมมีหลายชนิด โดยแต่ละชนิดมีความรุนแรงและระดับประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน เนื่องจากผู้ที่มีภาวะผมร่วง ผมบาง มักมีหนังศีรษะที่ไวต่อการกระตุ้น การเลือกใช้เลเซอร์ที่อ่อนโยนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงต่อหนังศีรษะ

กลไกที่ช่วยกระตุ้นเส้นผม

  1. การสร้าง Microthermal Zones (MTZs)
    Fractional Laser ทำให้เกิดบาดแผลขนาดเล็กระดับไมโครใต้ผิวหนัง หรือที่เรียกว่า Microthermal Zones ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซม (wound healing cascade) พร้อมปล่อยสารสื่อกลางต่าง ๆ เช่น growth factors และ cytokines ที่ช่วยกระตุ้นรากผมให้อยู่ในระยะเจริญเติบโต (anagen phase)
  2. กระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) รอบรากผม
    เลเซอร์สามารถกระตุ้นบริเวณ bulge area ซึ่งเป็นที่อยู่ของ stem cells ภายในรากผม ส่งผลให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ที่สามารถผลิตเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงและมีคุณภาพมากขึ้น
  3. เพิ่มการไหลเวียนเลือดในหนังศีรษะ
    ผลของการอักเสบเล็กน้อยที่เกิดจากเลเซอร์ช่วยขยายหลอดเลือดในหนังศีรษะ ทำให้รากผมได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น เสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม และช่วยยืดอายุของผมในระยะเจริญเติบโต
  4. เพิ่มการดูดซึมยา และประสิทธิภาพของยาร่วมรักษา
    การทำเลเซอร์ก่อนทายาหรือทำเมโสเธอราปี (mesotherapy) ช่วยให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีขึ้น ทำให้การรักษาโดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวยาที่ใช้ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ โดยเน้นสารสกัดจากธรรมชาติหรือ growth factors ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

ใครเหมาะกับการรักษาด้วย Fractional Laser?

  • ผู้ที่มีผมบางจากพันธุกรรมทุกระยะ
    ไม่ว่าจะอยู่ในระยะเริ่มต้นหรือระยะลุกลาม การใช้ Fractional Laser สามารถช่วยฟื้นฟูรากผมและปรับสมดุลหนังศีรษะได้
  • ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากยารับประทาน
    เช่น Finasteride, Dutasteride หรือ Minoxidil ที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง Fractional Laser เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและไม่รบกวนระบบฮอร์โมน
  • ผู้ที่มองหาวิธีการที่ปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้น
    Fractional Laser เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผลเปิด และสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันทีหลังทำ
  • ผู้ที่วางแผนปลูกผมหรือเพิ่งปลูกผม
    การทำเลเซอร์ช่วยเร่งการฟื้นตัวของรากผมใหม่ และเพิ่มอัตราการอยู่รอดของเส้นผมที่ปลูก

สรุป

Fractional Laser ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว แต่ยังเป็นนวัตกรรมที่สำคัญในการรักษาผมร่วงจากพันธุกรรม โดยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิด และเพิ่มการไหลเวียนเลือดในหนังศีรษะ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อการงอกใหม่ของเส้นผม

หากได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและดูแลสุขภาพหนังศีรษะอย่างครบวงจร จะช่วยให้เส้นผมกลับมาแข็งแรง หนาขึ้น และลดการหลุดร่วงในระยะยาว

ข้อมูลทางคลินิกจากการติดตามผลการรักษาที่ Piyawat Clinic

ผลการติดตามการรักษาที่ Piyawat Clinic พบว่า:

  1. ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วย Fractional Hair Laser ร่วมกับ Meso Hair มีปริมาณเส้นผมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับการรักษาด้วย Meso Hair เพียงอย่างเดียว
  2. ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วย Fractional Hair Laser ร่วมกับ Meso Hair มีการงอกของเส้นผมใหม่ในบริเวณที่ไม่มีรูขุมขนเดิม (ช่องว่างระหว่างรูขุมขน) มากกว่ากลุ่มที่ทำ Meso Hair เพียงอย่างเดียว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

Mechanisms of Hair Stimulation Using Fractional Laser for Androgenetic Alopecia

Androgenetic alopecia (AGA) is a common condition that causes hair thinning in both men and women. It is primarily driven by androgen hormones and the sensitivity of hair follicles to dihydrotestosterone (DHT), which shortens the hair growth cycle and leads to gradual miniaturization of hair follicles, resulting in visibly thinner hair.

In recent years, laser technology, particularly fractional lasers, has gained popularity as a non-pharmaceutical treatment option for AGA. Studies have shown that laser stimulation can effectively rejuvenate dormant hair follicles and promote new hair growth.

What Is a Fractional Laser?

Fractional lasers emit energy in a fractionated pattern—tiny beams that penetrate the deeper layers of the skin while leaving surrounding tissue intact. This creates microscopic wounds (microthermal zones), which trigger a natural healing response that encourages tissue repair and regeneration.

Types of Fractional Lasers

There are several types of fractional lasers used for hair stimulation, each varying in intensity and effectiveness. Since individuals with hair thinning often have sensitive scalps, it is important to choose a gentle laser system to avoid unnecessary irritation.

Mechanisms That Promote Hair Growth

  1. Microthermal Zones (MTZs):
    Fractional laser beams create microscopic thermal injury zones in the scalp. These trigger a wound-healing cascade that releases various signaling molecules such as growth factors and cytokines, which help reactivate weakened hair follicles and return them to the anagen (growth) phase.
  2. Stimulation of Stem Cells Around Hair Follicles:
    Fractional lasers stimulate the bulge area of the follicle, where hair follicle stem cells reside. This promotes the repair of miniaturized follicles and the formation of new, healthy hair strands.
  3. Increased Scalp Blood Circulation:
    Mild inflammation caused by the laser leads to vasodilation and increased blood flow to the scalp. This enhances the delivery of oxygen and nutrients to the hair roots, strengthening the hair and extending the anagen phase.
  4. Improved Absorption and Efficacy of Topical Treatments:
    Fractional laser treatment increases scalp permeability, improving the absorption of topical products or mesotherapy solutions. This synergy enhances overall treatment effectiveness. For best results, gentle, non-irritating formulations—such as natural extracts and growth factors—are recommended.

Who Is Fractional Laser Treatment Suitable For?

  • Anyone with Genetic Hair Thinning:
    Whether in early or advanced stages, fractional lasers can help restore hair follicle function and improve scalp health.
  • Individuals Avoiding Side Effects from Oral Medications:
    For those concerned about side effects from medications like finasteride, dutasteride, or minoxidil, fractional laser is a safe and effective alternative.
  • People Looking for a Safe, Low-Downtime Option:
    As a non-surgical procedure, fractional laser treatment requires minimal recovery time and allows patients to return to their daily routines quickly.
  • Post–Hair Transplant Patients or Those Planning Hair Transplants:
    Laser therapy can be used before or after a transplant to support recovery and improve the growth and survival of transplanted follicles.

Summary

Fractional lasers are not only effective for skin rejuvenation but also play a key role in hair restoration for AGA patients. They activate biological repair mechanisms, stimulate stem cells, and improve scalp blood flow—all contributing to enhanced hair growth.

Ongoing laser treatment, in combination with a holistic care regimen and appropriate therapeutic agents, can significantly improve hair density, strength, and retention.

Clinical Observations from Piyawat Clinic

Clinical tracking at Piyawat Clinic has revealed important findings regarding the effectiveness of fractional hair laser therapy:

  1. Patients treated with fractional hair laser combined with Meso Hair showed significantly greater hair growth compared to those who received mesotherapy alone, with statistically significant results.
  2. New hair was observed growing from previously empty follicular areas (inter-follicular spaces) in patients treated with fractional hair laser + Meso Hair, more prominently than in those treated with mesotherapy alone—again, with statistical significance.

 

The Truth Revealed: Why Melasma Treatment Doesn’t Work for Everyone?

เปิดเผยความจริง: ทำไมการรักษาฝ้าถึงไม่ได้ผลสำหรับทุกคน?

ฝ้าจางลงได้ แต่ยังไม่มีวิธีไหนที่การันตีว่าฝ้าจะหายไปทั้งหมด

หลายคนพยายามรักษาฝ้าแต่กลับพบว่า ฝ้าจางลงช่วงหนึ่งแล้วกลับมาเข้มขึ้นอีก ไม่ว่าจะใช้ครีมราคาแพง เลเซอร์เทคโนโลยีสูง หรืออาหารเสริมก็ยังไม่สามารถกำจัดฝ้าให้หายไปได้อย่างถาวร

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาฝ้าที่สามารถรับประกันได้ว่าจะทำให้ฝ้าหายไปทั้งหมด แต่สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้กลับมาเข้มขึ้น หากดูแลผิวอย่างต่อเนื่องและเลือกวิธีที่เหมาะสม

มาดูกันว่า ทำไมบางคนรักษาฝ้าได้ผลดี แต่บางคนไม่ได้ผล? และต้องทำอย่างไรให้ฝ้าจางลงและไม่กลับมาอีก?

1. ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ป้องกันฝ้ากลับมา

ฝ้าไม่สามารถหายขาดได้ในครั้งเดียว การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!

✔️ เลือกใช้ไวท์เทนนิ่งครีมที่มีส่วนผสมในการฟื้นฟูผิว ที่ช่วยให้เม็ดสีจางลงพร้อมกับเสริมความแข็งแรงของผิว
✔️ ครีมกันแดดเป็นหัวใจสำคัญ เพราะรังสี UV เป็นตัวกระตุ้นให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น
✔️ เลือกผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับคุณแม่ที่มีลูกเล็ก ครีมบางชนิดอาจมีสารเคมีตกค้างที่สามารถสัมผัสลูกได้

หากปล่อยปะละเลย ฝ้าจะกลับมาเข้มขึ้นเสมอ แม้จะรักษาจนจางแล้วก็ตาม

2. เลเซอร์ที่เหมาะสมและผ่านการรับรอง USFDA ช่วยให้ฝ้าจางลงเร็วขึ้น

การใช้เลเซอร์เป็นวิธีที่ช่วยให้ฝ้าจางลงได้เร็วขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกเครื่องเลเซอร์จะมีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า ควรเลือกเลเซอร์ที่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมและผ่านการรับรองจาก USFDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

✔️ เลเซอร์รุ่นใหม่ที่มี Toning Mode ไม่เพียงช่วยลดเม็ดสี แต่ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใส
✔️ ลดรอยดำและช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ
✔️ เครื่องที่ผ่านการรับรอง USFDA ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ หรือเกิดรอยดำหลังทำ

อย่าเลือกเลเซอร์ที่ราคาถูกเกินไปหรือเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจทำให้ฝ้าหนักขึ้นแทนที่จะดีขึ้น

3. ความชำนาญของแพทย์ มีผลต่อการรักษาฝ้า

เลเซอร์รักษาฝ้าไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องมือ แต่เป็นเรื่องของ “ฝีมือแพทย์” ด้วย!

✔️ แพทย์ที่มีประสบการณ์จะรู้ว่าต้องใช้พลังงานเลเซอร์เท่าไร เพื่อให้ฝ้าจางลงโดยไม่ทำให้ผิวไหม้
✔️ การวิเคราะห์สภาพผิวของแพทย์ มีผลต่อการเลือกวิธีรักษา
✔️ แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสามารถช่วยลดผลข้างเคียงได้

ดังนั้น ก่อนเข้ารับการรักษา ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง และมีประสบการณ์ในการรักษาฝ้า

4. อายุเกิน 30 ปี? ต้องบำรุงจากภายในเพื่อให้ผิวแข็งแรงและลดการเกิดฝ้า

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการฟื้นฟูผิวจะช้าลง และความสามารถในการป้องกันเม็ดสีผิดปกติของผิวจะลดลง ทำให้ฝ้ามีแนวโน้มเกิดขึ้นง่ายขึ้น ดังนั้น การดูแลจากภายในเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

✔️ การกินคอลลาเจนที่ผสมสารธรรมชาติเพื่อบำรุงผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดการเกิดฝ้าได้
✔️ เลือกรับประทานอาหารเสริมจากธรรมชาติ เช่น Blood Tonic ซึ่งอุดมไปด้วยสมุนไพรและสารอาหารที่ช่วยปรับสมดุลร่างกาย บำรุงเลือด และส่งเสริมสุขภาพผิว
✔️ ทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มะเขือเทศ และชาเขียว

5. ผลข้างเคียงจากเลเซอร์? ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและแก้ไขได้

✔️ หน้าแห้งเล็กน้อยหลังทำเลเซอร์ (สามารถแก้ไขได้ด้วยมอยส์เจอไรเซอร์)
✔️ หากต้องใช้พลังงานสูงในบางจุด อาจมีรอยดำหลังเม็ดสีลอกหลุด
✔️ หากมีปัญหาเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษา

สรุป: วิธีรักษาฝ้าให้ได้ผลและไม่กลับมาอีก

✅ รักษาฝ้าอย่างต่อเนื่อง ใช้ไวท์เทนนิ่งและกันแดดทุกวัน
✅ ใช้เลเซอร์ที่เหมาะสมและต้องผ่านการรับรอง USFDA
✅ รักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันผลข้างเคียง
✅ ดูแลผิวทั้งจากภายนอกและภายใน
✅ เลือกผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อความปลอดภัย

ฝ้าจางลงได้! ถ้ารักษาให้ถูกวิธีและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง
หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาฝ้าแบบถูกต้อง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสมกับคุณที่สุด!

The Impact of PM2.5 on Skin Health and Pigmentation

งานวิจัยล่าสุดเน้นให้เห็นถึงผลกระทบที่เป็นอันตรายของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ต่อผิวหนังของมนุษย์ PM2.5 ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของมลพิษทางอากาศ มีความเชื่อมโยงกับริ้วรอยแห่งวัย การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และโรคผิวหนังที่เกิดจากการอักเสบ นักวิจัยได้ศึกษาบทบาทของ PM2.5 ในการเกิดภาวะผิวคล้ำผิดปกติและความเสียหายของผิวที่เกี่ยวข้องกับภาวะเครียดออกซิเดชัน

PM2.5 กับภาวะผิวคล้ำผิดปกติ

การศึกษาที่ใช้แบบจำลองผิวหนังมนุษย์แบบจำลองแสดงให้เห็นว่าการสัมผัส PM2.5 สามารถกระตุ้นการผลิตเมลานิน ส่งผลให้ผิวคล้ำขึ้น งานวิจัยพบว่า PM2.5 กระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีทางอ้อมผ่านเส้นทางการส่งสัญญาณของเคราติโนไซต์ ทำให้เกิดการสังเคราะห์เมลานินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สารพิษเช่น เบนโซ[a]ไพรีน (BAP) ที่พบใน PM2.5 มีส่วนช่วยให้เกิดภาวะนี้โดยกระตุ้นความเครียดออกซิเดชันและกระบวนการอักเสบ

กลไกของความเสียหายต่อผิวหนัง

PM2.5 ก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังผ่านกลไกหลัก ได้แก่:

  • ความเครียดออกซิเดชัน: กระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ (ROS) ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายของเซลล์และการอักเสบ
  • การตอบสนองต่อการอักเสบ: กระตุ้นการปล่อยสารไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ทำให้อาการของโรคผิวหนังแย่ลง
  • การกระตุ้นตัวรับอะริลไฮโดรคาร์บอน (AhR): PM2.5 มีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ที่สามารถจับกับ AhR ในเซลล์ผิวหนัง ส่งผลต่อการสร้างเมลานินและความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว

ผลกระทบต่อสุขภาพและการป้องกัน

การเข้าใจผลกระทบของ PM2.5 ต่อผิวหนังช่วยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการป้องกัน ได้แก่:

  • การใช้สารต้านอนุมูลอิสระ: ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีวิตามิน C, E และสารโพลีฟีนอลจากธรรมชาติสามารถช่วยลดความเครียดออกซิเดชันได้
  • การใช้ครีมกันแดดแบบปกป้องกว้าง: การสัมผัสรังสียูวีสามารถเพิ่มผลกระทบเชิงลบของ PM2.5 ต่อเม็ดสีผิวได้
  • การทำความสะอาดผิวที่เหมาะสม: การล้างหน้าที่มีประสิทธิภาพช่วยกำจัดมลพิษและลดผลกระทบต่อผิว
  • การใส่ใจคุณภาพอากาศ: หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่ค่ามลพิษสูงและใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อลดการสัมผัส

ทางเลือกในการรักษาภาวะเม็ดสีผิดปกติจาก PM2.5

เพื่อรับมือกับผลกระทบของ PM2.5 ต่อสีผิว การใช้เทคนิคทางผิวหนังขั้นสูงร่วมกับการดูแลผิวที่เหมาะสมอาจเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ นี่คือทางเลือกที่แนะนำ:

  1. เลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG สำหรับแก้ไขเม็ดสี
    • เลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการลดภาวะเม็ดสีผิดปกติที่เกิดจากมลภาวะ เช่น PM2.5
    • เทคโนโลยีเลเซอร์นี้มุ่งเป้าไปที่เม็ดสีเมลานิน ทำให้สามารถแตกตัวและกำจัดออกจากร่างกายได้ตามธรรมชาติ
    • ควรเลือกใช้เครื่องเลเซอร์ที่ได้รับการรับรองจาก USFDA และให้ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังเป็นผู้ทำหัตถการ
  1. การบำบัดด้วยมัลติวิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติ
    • การบำบัดด้วยสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดผลกระทบของ PM2.5 ต่อผิว
    • วิตามินซีและสารสกัดจากธรรมชาติสามารถช่วยฟื้นฟูผิวและควบคุมเม็ดสี
    • การใช้สารอาหารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  1. BioGlow Rejuvenation: การฟื้นฟูผิวขั้นสูง
    • BioGlow Rejuvenation เป็นทรีตเมนต์ดูแลผิวที่ออกแบบมาเพื่อลดเม็ดสีผิดปกติ และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
    • รวมเทคโนโลยีเลเซอร์เพื่อช่วยลดเม็ดสีผิดปกติ
    • ใช้วิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อลดปัญหาผิวคล้ำ
    • ฟื้นฟูผิวด้วยสเต็มเซลล์เพื่อลดความเสียหายจากมลภาวะ

สรุป

PM2.5 มีส่วนทำให้เกิดภาวะเม็ดสีผิดปกติ ความเครียดออกซิเดชัน และการอักเสบ การปกป้องผิวด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ การล้างหน้าที่เหมาะสม และการป้องกันแสงแดดสามารถช่วยลดความเสียหายได้ สำหรับการรักษา เลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG การบำบัดด้วยมัลติวิตามิน และ BioGlow Rejuvenation เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและคืนความกระจ่างใสให้กับผิว

A New Hope for Rosacea Sufferers: The Power of Botulinum Toxin

ภาษาไทย Article by DR. Piyawat POOMSUWAN

Rosacea is a chronic skin condition that causes redness, swelling, and visible blood vessels on the face, significantly impacting patients’ confidence and quality of life.

While there are various treatment options available, the use of Botulinum Toxin (Botox) has emerged as a promising and effective solution for alleviating rosacea symptoms.

Findings from Research on Botulinum Toxin

  • A systematic review on the use of botulinum toxin for rosacea demonstrated its effectiveness in reducing redness, inflammation, and dilated blood vessels associated with the condition.
  • Patients who received the treatment reported noticeable improvements in both symptoms and overall skin appearance.

 

Treatment and Safety

  • Botulinum toxin treatment is highly safe.
  • Side effects are mild and temporary, such as slight swelling or bruising at the injection site, which typically resolve quickly.
  • The therapeutic effects of botulinum toxin can last for up to 3 months, making it a long-lasting option for managing rosacea.

 

Benefits of Botulinum Toxin for Rosacea

  • Reduction of Redness and Inflammation: Restores the skin’s normal appearance by addressing vascular issues.
  • High Safety Profile: Minimal and self-limiting side effects.
  • Long-Lasting Results: Improvements can persist for up to 3 months post-treatment.

 

 

Precautions

While botulinum toxin has shown great promise, it is crucial to consult a medical professional to determine the suitability of the treatment for each individual and ensure it is administered safely.

 

Conclusion:

  • Botulinum toxin is an effective and innovative treatment for rosacea, offering significant improvements in symptoms such as redness, inflammation, and dilated blood vessels.
  • It not only enhances skin appearance but also boosts patients’ confidence and overall quality of life.
  • Since this is not general Botox injection, highly recommended to consult a specialized and experienced physician.

A New Hope for Rosacea Sufferers: The Power of Botulinum Toxin

English

บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

โรซาเซีย (Rosacea) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ทำให้เกิดอาการแดง ผิวบวม และหลอดเลือดขยายในบริเวณใบหน้า โดยมีผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การรักษาโรซาเซียมีหลายวิธี แต่การใช้ โบทูลินั่มท็อกซิน (Botulinum Toxin) หรือ Botox กำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการต่าง ๆ ของโรคนี้

ผลการศึกษาจากการใช้โบทูลินั่มท็อกซิ

จากการศึกษาระบบเกี่ยวกับการใช้โบทูลินั่มท็อกซินในการรักษาสิวโรซาเซีย พบว่า

  • โบทูลินั่มท็อกซินสามารถช่วยลดอาการแดงและการอักเสบ รวมถึงช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือดที่ทำให้ใบหน้าดูแดงกว่าปกติ
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษารายงานว่ามีการปรับปรุงทั้งในด้านการลดอาการและการมองเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังการรักษา

การรักษาและความปลอดภัย

  • การรักษาด้วยโบทูลินั่มท็อกซินมีความปลอดภัยสูง
  • อาการข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่จะเป็นอาการชั่วคราว เช่น บวมและรอยช้ำที่บริเวณที่ฉีดยา ซึ่งสามารถหายได้เองในเวลาไม่นาน
  • ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้โบทูลินั่มท็อกซินยังสามารถอยู่ได้นานถึง 3 เดือน

ข้อดีของการใช้โบทูลินั่มท็อกซินในการรักษาสิวโรซาเซีย

  • ลดอาการแดงและการอักเสบ: ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เสียหายจากการขยายตัวของหลอดเลือด
  • ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง: อาการข้างเคียงจะหายได้เอง
  • ผลลัพธ์ที่ยาวนาน: ผลการรักษาสามารถอยู่ได้ถึง 3 เดือน

ข้อควรระวัง

แม้ว่าการใช้โบทูลินั่มท็อกซินจะมีผลลัพธ์ที่ดีในการรักษาสิวโรซาเซีย แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษาเพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล

สรุป:

  • การใช้โบทูลินั่มท็อกซินเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวโรซาเซีย โดยสามารถลดอาการต่าง ๆ เช่น การขยายตัวของหลอดเลือดและการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยฟื้นฟูความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน
  • เนื่องจากไม่ใช่การฉีดแบบปกติจึงควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญในการรักษา

สาเหตุของผมร่วงผมบางในผู้หญิง: ความจริงที่ควรรู้และวิธีรับมือ

บทความโดย นพ.ปิยะวํฒน์ ภูมิสุวรรณ
English

ผมร่วงและผมบางเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทุกวัยซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจและสุขภาพจิตใจของหลายคน สาเหตุของผมร่วงในผู้หญิงมีความซับซ้อนและหลากหลาย

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหา พร้อมแนะนำวิธีดูแลและป้องกันอย่างถูกต้อง

สาเหตุหลักของผมร่วงผมบางในผู้หญิง

  1. ฮอร์โมนและพันธุกรรม
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ หลังคลอด หรือวัยหมดประจำเดือน อาจทำให้ผมร่วงมากกว่าปกติ
  • พันธุกรรมสามารถมีผลต่อการเกิดภาวะผมบางแบบผู้หญิง (Female Pattern Hair Loss) ซึ่งมักเริ่มที่กลางศีรษะและกระจายออกด้านข้าง
  1. ความเครียดและปัญหาทางจิตใจ
  • ความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจสามารถทำให้ผมหลุดร่วงได้ เช่น ภาวะ Telogen Effluvium ที่เกิดจากความเครียดทำให้ผมเข้าสู่ระยะพักพร้อมกัน
  • ปัญหาทางจิตใจ เช่น ภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า ก็ส่งผลต่อสุขภาพผมได้
  1. โรคและปัญหาสุขภาพ
  • โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ โรคภูมิคุ้มกัน หรือโรคโลหิตจาง เป็นเหตุที่ทำให้ผมร่วงผมบางได้
  • การนอนไม่หลับ พักผ่อนน้อย ก็ส่งผลกระทบต่อผมร่วงผมบางเช่นกัน
  1. โภชนาการที่ไม่สมดุล
  • การขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี ไบโอติน และโปรตีน
  • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือการทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ
  1. การใช้สารเคมีและความเสียหายจากการจัดแต่งผม
  • การใช้สารเคมี เช่น การย้อมผม ดัดผม หรือยืดผม กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองที่ศีรษะและรากผมซึ่งมีผลต่อการขึ้นและการเติบโตของเส้นผม หากมีความจำเป็นต้องดัดผม ย้อมผม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีระและรากผมหลังการทำสีหรือดัดผม เช่น Natural Hair Spray
  • การระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำ เช่น แชมพู ครีมนวดผม การระคายเคืองนี้สามารถตรวพบได้ด้วยกล้องขยายไมโครสโครป หากคุณมีหนังศีรษะที่ไวต่อการระคายเคือง แนะนำให้ใช้แชมพูที่ปราศจากสารซัลเฟต ปราศจากน้ำหอมและสารเคมีกันบูด
  1.  อายุที่เพิ่มขึ้น
  • เมื่ออายุมากขึ้น วงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมจะสั้นลง ทำให้ผมบางและหลุดร่วงง่ายขึ้น การได้รับทรีตเมนต์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุเส้นผมและจำนวนเส้นผมได้

วิธีดูแลและป้องกันปัญหาผมร่วงผมบาง

  1. ดูแลสุขภาพจากภายใน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ เนื้อปลา และธัญพืช
  • เสริมวิตามินที่จำเป็น เช่น ไบโอติน วิตามินดี ธาตุเหล็ก และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผม
  1. จัดการความเครียด
  • ใช้เวลาในการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่เหมาะสม
  • เลือกแชมพูและครีมนวดที่อ่อนโยนและเหมาะกับสภาพผม ปราศจากสารซัลเฟต ปราศจากสารซิลิโคน ปราศจากน้ำหอมและสารเคมีกันบูด
  1. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • หากมีปัญหาผมร่วงเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังศีรษะเพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
  • การรักษาด้วยเลเซอร์
    เมโสเธอราปี โลชั่น และยากิน ตามความเหมาะสมจะช่วยให้ผมหยุกร่วงและขึ้นกลับมาได้

สรุป

  • ผมร่วงผมบางในผู้หญิงอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งฮอร์โมน ความเครียด สุขภาพ และการดูแลที่ไม่เหมาะสม
  • การเข้าใจสาเหตุและเลือกวิธีการดูแลที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพเส้นผมของคุณ
  • การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างตรงจุด

 

บทความนี้หวังว่าจะช่วยให้คุณเข้าใจปัญหาผมร่วงได้มากขึ้น และพร้อมดูแลเส้นผมของคุณให้แข็งแรงและสุขภาพดี!

Say Goodbye to Dullness: The Ultimate Guide to Brighten Your Skin

Article by Dr.Piyawat POOMSUWAN

Achieving radiant, bright skin is easier than you think!

This guide covers effective daily routines, professional treatments, and lifestyle changes to help you say goodbye to dullness and hello to glowing skin.

Daily Skincare Routine for Bright Skin

1. Cleanse Properly:

Use a gentle cleanser to remove impurities without stripping your skin’s natural moisture.

Look for Cleansing milk and Facial gel that are rich in natural extracts. Deeply cleanses the skin and nourishes the skin with natural moisturizer.


2. Exfoliate Regularly:

Chemical exfoliants like AHAs (2-4% glycolic acid) 1-2 times a week to slough off dead skin cells.

Avoid harsh scrubs that can irritate your skin.


3. Hydrate Your Skin:

Apply a moisturizer or serum containing hyaluronic acid to keep your skin plump and nourished.


4. Brightening Serums or Cream:

Incorporate serums or creams with Vitamin C and natural whitening agents to safely reduce pigmentation and even out your skin tone.


5. Always Wear Sunscreen:

Protect your skin from harmful UV rays with a broad-spectrum SPF 50 or higher.



Professional Treatments to Boost Radiance

1. Chemical Peels:

Mild peels with glycolic or lactic acid exfoliate deeply, leaving your skin smoother and brighter.


2. Laser Plus Multivitamin treatment:

Address stubborn pigmentation and enhance brightness with targeted laser therapy.

Multivitamin doesn’t just help brighten your skin. But it also helps capture free radicals from the laser.

USFDA approved laser is highly recommended for efficacy and safety reason.

3. BioGlow Rejuvenation:

A cutting-edge combination of laser brightening and stem cell rejuvenation for lasting radiance.



Lifestyle Habits for Brighter Skin

1. Stay Hydrated: Drink plenty of water daily to maintain skin elasticity and flush out toxins.


2. Eat a Skin-Healthy Diet: Include antioxidant-rich foods like berries, spinach, and green tea for a natural glow.


3. Get Enough Sleep: Aim for 7–8 hours of sleep each night to allow your skin to repair and renew. Natural supplements are highly recommended for sleeping problems.


4. Avoid Smoking and Excess Alcohol: These habits can lead to dull and dehydrated skin.




DIY Masks to Brighten Skin Naturally

1. Honey and Lemon Mask: Mix 1 teaspoon of honey with a few drops of lemon juice. Apply for 10 minutes and rinse.


2. Turmeric and Yogurt Mask: Combine a pinch of turmeric with 2 teaspoons of yogurt. Apply, leave for 15 minutes, and wash off.


3. Papaya and Honey Mask: Mash ripe papaya and mix with honey for a refreshing and brightening mask.




Glow-Up Starts Now!

By combining these daily practices, professional treatments, and simple lifestyle changes, you can achieve the luminous, bright skin you’ve always desired. Start your journey today and say goodbye to dullness for good!

Causes of Hair Loss and Thinning Hair in Women: Essential Facts and How to Manage Them

Article by DR.Piyawat POOMSUWAN
ภาษาไทย

Hair loss and thinning hair are common problems among women of all ages, often affecting confidence and mental well-being. The causes of hair loss in women are complex and varied. This article will help you understand the factors behind this issue and offer guidance on proper care and prevention.

 

Main Causes of Hair Loss and Thinning Hair in Women

  1. Hormones and Genetics
  • Hormonal changes, such as during pregnancy, postpartum, or menopause, can cause excessive hair shedding.
  • Genetics may lead to Female Pattern Hair Loss, typically starting at the crown and spreading outward.
  1. Stress and Psychological Factors
  • Physical or emotional stress can cause conditions like Telogen Effluvium, where hair prematurely enters the resting phase.
  • Mental health issues such as anxiety or depression also negatively affect hair health.
  1. Health Conditions
  • Medical conditions like thyroid disorders, autoimmune diseases, or anemia can cause hair thinning.
  • Insufficient sleep or lack of rest also impacts hair health, contributing to hair loss.
  1. Nutritional Imbalance
  • Deficiencies in essential nutrients such as iron, zinc, biotin, and protein can lead to hair thinning.
  • Rapid weight loss or a diet lacking nutritional value can worsen the problem.
  1. Chemical Use and Damage from regular product
  • Chemical treatments like dyeing, perming, or straightening can irritate the scalp and weaken hair roots, impacting growth.
  • Irritation from products used regularly, such as shampoo or conditioner, can be detected using a microscopic examination. If your scalp is sensitive, use sulphate-free, fragrance-free, and natural preservative shampoos.
  1. Aging
  • As you age, the hair growth cycle shortens, leading to thinner, more fragile hair. Regular treatments can help extend the lifespan and density of your hair.

Tips for Managing and Preventing Hair Loss

  1. Nourish from inside
  • Eat a healthy diet rich in vegetables, fruits, fish, and whole grains.
  • Take essential supplements like biotin, vitamin D, and iron, or use natural hair-nourishing supplements.
  1. Manage Stress
  • Relax through activities like meditation, yoga, or regular exercise.
  • Get enough sleep to allow your body to recover.
  1. Use Suitable Hair Care Products
  • Choose gentle shampoos and conditioners suitable for your hair. Look for products free of sulfates, silicones, fragrances, and preservatives.
  1. Consult a Specialist
  • If hair loss persists, seek advice from a specialist for proper diagnosis and treatment.
  • Treatments such as laser therapy, mesotherapy, topical lotions, and oral medications can help stop hair loss and promote regrowth.

Conclusion

  • Hair loss and thinning hair in women can result from various factors, including hormones, stress, health issues, and improper care.
  • Understanding the causes and adopting the right care strategies is key to preventing and restoring healthy hair.
  • Consulting a specialist is the best option for accurately identifying the cause and receiving effective treatment.

This article aims to help you better understand hair loss and equip you to care for your hair, ensuring it remains strong and healthy!

Piyawat Clinic Signature Hair Treatment

日本
บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

“การรักษาที่เพิ่มทั้งเส้นผมและสมรรถภาพ”

ใครเหมาะที่จะรักษา

  • ผมร่วงผมบางจากพันธุกรรม(AGA: Androgenetic Alopecia)
  • หลังจากปลูกผม(Hair transplantation) เพื่อดูแลทั้งเส้นผมเดิมและเส้นผมที่ปลูกใหม่โดยไม่ต้องกินยา
  • ต้องการหยุดยาที่กินรักษาเส้มผม เช่น Finasterile ซึ่งมีผลข้างเคียง
  • ผมร่วงหลังคลอด
  • ผมร่วงหลังเจ็บป่วย
  • ผมร่วงจากโรคประจำตัว
  • คนที่มีปัญหาจากการรักษาเดิม

รักษาอย่างไร

  • Hair Laser: ไม่เจ็บและปลอดภัยด้วยเครื่องที่ผ่านการรับรองจากUSFDA
  • Mesotherapy: ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ 100%
  • Home-used lotion: ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ 99%
  • Organic Shampoo: ปราศจากที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ซัลเฟต น้ำหอม สารกันบูด
  • ยาบำรุงผลิตจากธรรมชาติ100%
    • Blood tonic: ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดสู่รากผม
    • Tonic capsule: ใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อมจากผลข้างเคียงของยาที่เคยใช้มาก่อน
  • Natural hair spray ลดการระคายเคืองสำหรับคนทำสีผม
  • Hair microscope: เพื่อตรวจดูหนังศีรษะทุกครั้งที่รับการรักษา

ผลการรักษา

  • เห็นผมขึ้นใหม่ด้วยกล้องmicroscope ภายใน 3 สัปดาห์
  • ค่อยๆหยุดยาเคมีที่กินมาก่อนรักษาได้ และฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย
  • กรณีคนไข้ปลูกผมมาแล้ว การรักษาจะช่วยให้ผมที่ปลูกมาโตได้ดีขึ้น พร้อมกับมีผมขึ้นใหม่เพิ่มขึ้น และป้องกันผมเก่าที่มีอยู่บางลง

หากคุณมีปัญหาผมร่วงผมบาง หรือ มีประสบปัญหามีผลข้างเคียงจากการรักษา ลองมาปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและแนวทาการรักษาที่เหมาะสม