The Impact of PM2.5 on Skin Health and Pigmentation

งานวิจัยล่าสุดเน้นให้เห็นถึงผลกระทบที่เป็นอันตรายของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ต่อผิวหนังของมนุษย์ PM2.5 ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของมลพิษทางอากาศ มีความเชื่อมโยงกับริ้วรอยแห่งวัย การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และโรคผิวหนังที่เกิดจากการอักเสบ นักวิจัยได้ศึกษาบทบาทของ PM2.5 ในการเกิดภาวะผิวคล้ำผิดปกติและความเสียหายของผิวที่เกี่ยวข้องกับภาวะเครียดออกซิเดชัน

PM2.5 กับภาวะผิวคล้ำผิดปกติ

การศึกษาที่ใช้แบบจำลองผิวหนังมนุษย์แบบจำลองแสดงให้เห็นว่าการสัมผัส PM2.5 สามารถกระตุ้นการผลิตเมลานิน ส่งผลให้ผิวคล้ำขึ้น งานวิจัยพบว่า PM2.5 กระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีทางอ้อมผ่านเส้นทางการส่งสัญญาณของเคราติโนไซต์ ทำให้เกิดการสังเคราะห์เมลานินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สารพิษเช่น เบนโซ[a]ไพรีน (BAP) ที่พบใน PM2.5 มีส่วนช่วยให้เกิดภาวะนี้โดยกระตุ้นความเครียดออกซิเดชันและกระบวนการอักเสบ

กลไกของความเสียหายต่อผิวหนัง

PM2.5 ก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังผ่านกลไกหลัก ได้แก่:

  • ความเครียดออกซิเดชัน: กระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ (ROS) ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายของเซลล์และการอักเสบ
  • การตอบสนองต่อการอักเสบ: กระตุ้นการปล่อยสารไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ทำให้อาการของโรคผิวหนังแย่ลง
  • การกระตุ้นตัวรับอะริลไฮโดรคาร์บอน (AhR): PM2.5 มีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ที่สามารถจับกับ AhR ในเซลล์ผิวหนัง ส่งผลต่อการสร้างเมลานินและความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว

ผลกระทบต่อสุขภาพและการป้องกัน

การเข้าใจผลกระทบของ PM2.5 ต่อผิวหนังช่วยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการป้องกัน ได้แก่:

  • การใช้สารต้านอนุมูลอิสระ: ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีวิตามิน C, E และสารโพลีฟีนอลจากธรรมชาติสามารถช่วยลดความเครียดออกซิเดชันได้
  • การใช้ครีมกันแดดแบบปกป้องกว้าง: การสัมผัสรังสียูวีสามารถเพิ่มผลกระทบเชิงลบของ PM2.5 ต่อเม็ดสีผิวได้
  • การทำความสะอาดผิวที่เหมาะสม: การล้างหน้าที่มีประสิทธิภาพช่วยกำจัดมลพิษและลดผลกระทบต่อผิว
  • การใส่ใจคุณภาพอากาศ: หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่ค่ามลพิษสูงและใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อลดการสัมผัส

ทางเลือกในการรักษาภาวะเม็ดสีผิดปกติจาก PM2.5

เพื่อรับมือกับผลกระทบของ PM2.5 ต่อสีผิว การใช้เทคนิคทางผิวหนังขั้นสูงร่วมกับการดูแลผิวที่เหมาะสมอาจเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ นี่คือทางเลือกที่แนะนำ:

  1. เลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG สำหรับแก้ไขเม็ดสี
    • เลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการลดภาวะเม็ดสีผิดปกติที่เกิดจากมลภาวะ เช่น PM2.5
    • เทคโนโลยีเลเซอร์นี้มุ่งเป้าไปที่เม็ดสีเมลานิน ทำให้สามารถแตกตัวและกำจัดออกจากร่างกายได้ตามธรรมชาติ
    • ควรเลือกใช้เครื่องเลเซอร์ที่ได้รับการรับรองจาก USFDA และให้ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังเป็นผู้ทำหัตถการ
  1. การบำบัดด้วยมัลติวิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติ
    • การบำบัดด้วยสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดผลกระทบของ PM2.5 ต่อผิว
    • วิตามินซีและสารสกัดจากธรรมชาติสามารถช่วยฟื้นฟูผิวและควบคุมเม็ดสี
    • การใช้สารอาหารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  1. BioGlow Rejuvenation: การฟื้นฟูผิวขั้นสูง
    • BioGlow Rejuvenation เป็นทรีตเมนต์ดูแลผิวที่ออกแบบมาเพื่อลดเม็ดสีผิดปกติ และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
    • รวมเทคโนโลยีเลเซอร์เพื่อช่วยลดเม็ดสีผิดปกติ
    • ใช้วิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อลดปัญหาผิวคล้ำ
    • ฟื้นฟูผิวด้วยสเต็มเซลล์เพื่อลดความเสียหายจากมลภาวะ

สรุป

PM2.5 มีส่วนทำให้เกิดภาวะเม็ดสีผิดปกติ ความเครียดออกซิเดชัน และการอักเสบ การปกป้องผิวด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ การล้างหน้าที่เหมาะสม และการป้องกันแสงแดดสามารถช่วยลดความเสียหายได้ สำหรับการรักษา เลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG การบำบัดด้วยมัลติวิตามิน และ BioGlow Rejuvenation เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและคืนความกระจ่างใสให้กับผิว

Effects of PM 2.5 on the Skin and Benefits of Plant Extracts in Protecting and Restoring the Skin

ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อผิวหนัง และ ประโยชน์ของสารสกัดจากพืชในการปกป้องและฟื้นฟูผิว

ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อผิวหนัง

PM 2.5 (Particulate Matter ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน) เป็นมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพผิวหนังโดยตรง เนื่องจากอนุภาคขนาดเล็กสามารถแทรกซึมผ่านรูขุมขนเข้าสู่ผิวหนังได้ ก่อให้เกิดปัญหาดังนี้

  1. กระตุ้นการอักเสบและระคายเคือง – อนุภาค PM 2.5 ทำให้เกิดการอักเสบของผิว กระตุ้นการหลั่งไซโตไคน์อักเสบ (inflammatory cytokines) ทำให้เกิดผื่นแพ้และอาการแดงของผิว
  2. เพิ่มการเกิดริ้วรอยก่อนวัย – PM 2.5 กระตุ้นอนุมูลอิสระ (oxidative stress) ซึ่งทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และความหมองคล้ำ
  3. กระตุ้นการผลิตเม็ดสีผิดปกติ – อนุภาคขนาดเล็กสามารถกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินผิดปกติ ทำให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
  4. ลดความสามารถของเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) – PM 2.5 ทำให้ชั้นไขมันที่ช่วยปกป้องผิวอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น และไวต่อสารก่อการระคายเคือง
  5. กระตุ้นสิวและรูขุมขนอุดตัน – สารพิษใน PM 2.5 เช่น โลหะหนักและไฮโดรคาร์บอน สามารถกระตุ้นต่อมไขมัน ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิว

ประโยชน์ของสารสกัดจากพืชในการปกป้องและฟื้นฟูผิวจาก PM 2.5

1. Plantago major leaf extract (สารสกัดผักาดน้ำ หรือ หญ้าเอ็นยืด)

  • มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ผิว
  • ช่วยลดการระคายเคืองและฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวที่เสียหายจาก PM 2.5
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายของเซลล์ผิวจากมลภาวะ

2. Centella asiatica leaf extract (สารสกัดจากใบบัวบก)

  • อุดมไปด้วยสาร Madecassoside และ Asiaticoside ที่ช่วยลดการอักเสบของผิวจาก PM 2.5
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลดริ้วรอยก่อนวัย
  • ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งและแพ้ง่ายจากมลภาวะ

3. Chamomilla recutita flower extract (สารสกัดจากดอกคาโมมายล์)

  • มีสาร Apigenin และ Bisabolol ซึ่งช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคืองและอาการแพ้จาก PM 2.5
  • ลดอาการแดงของผิวจากการอักเสบ
  • มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากความเสียหายของมลภาวะ

4. Hamamelis virginiana extract (สารสกัดจากวิชฮาเซล)

  • มี Tannins และ Flavonoids ช่วยสมานผิวและลดการอักเสบจาก PM 2.5
  • ควบคุมความมัน ลดการอุดตันของรูขุมขนที่เกิดจากมลภาวะ
  • กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

5. Aloe barbadensis leaf extract (สารสกัดจากว่านหางจระเข้)

  • มีสาร Polysaccharides และ Aloin ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว
  • ช่วยซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลายจาก PM 2.5
  • มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสียหายจากแสงแดดและมลภาวะ

6. Trigonella foenum-graecum seed extract (สารสกัดจากเมล็ดลูกซัด หรือ Fenugreek Seed)

  • อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Flavonoids และ Saponins ที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ
  • มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการระคายเคืองของผิวที่สัมผัส PM 2.5
  • ช่วยบำรุงและฟื้นฟูความชุ่มชื้นของผิวที่ถูกทำลาย

7.สารสกัดจากไพล (Zingiber montanum)

  • มีสาร Curcuminoids และ Essential Oils ที่ช่วยต้านการอักเสบ ลดอาการแพ้และระคายเคืองผิวจาก PM 2.5
  • ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวา
  • มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการเกิดสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน

8.สารสกัดจากมะขามป้อม (Phyllanthus emblica)

  • เป็นแหล่งวิตามินซีตามธรรมชาติที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระจาก PM 2.5
  • ช่วยลดจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และลดความหมองคล้ำจากมลภาวะ
  • ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

สรุป

PM 2.5 ส่งผลเสียต่อผิวหนังหลายด้าน ทั้งการอักเสบ ริ้วรอยก่อนวัย การเกิดจุดด่างดำ และการทำลายเกราะป้องกันผิว อย่างไรก็ตาม สารสกัดจากพืชธรรมชาติ เช่น Plantago major, Centella asiatica, Chamomilla recutica, Hamamelis virginiana, Aloe barbadensis, Trigonella foenum-graecum,, Zingiber montanum extract และ  Phyllanthus emblica fruit extract สามารถช่วยปกป้องผิว ลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยฟื้นฟูผิวจากความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะ

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากพืชเหล่านี้ร่วมกับการป้องกันมลภาวะ เช่น การล้างหน้าหลังออกจากที่แจ้ง จะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น และลดผลกระทบจาก PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Basic Knowledge to Care Hair and Scalp

 

เส้นผมและหนังศีรษะเป็นองค์ประกอบสำคัญของร่างกายที่ไม่เพียงแต่มีบทบาทด้านความสวยงาม แต่ยังสะท้อนถึงสุขภาพโดยรวมของเราได้ด้วย การทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะจะช่วยให้เราดูแลเส้นผมได้อย่างเหมาะสม ลดปัญหาผมร่วง หนังศีรษะมัน หรือรังแคที่อาจเกิดขึ้นได้

โครงสร้างของเส้นผม

เส้นผม(Hair shaft)

ประกอบไปด้วย เคราติน (Keratin) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกับที่พบในเล็บและผิวหนัง เส้นผมแต่ละเส้นมีโครงสร้างหลัก 3 ชั้น ได้แก่

  1. คิวติเคิล (Cuticle) – ชั้นนอกสุดของเส้นผม มีลักษณะเป็นเกล็ดซ้อนกัน ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อในของเส้นผมจากความเสียหายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น แสงแดด ความร้อน และสารเคมี โดยชั้นผิวนอกจะประกอบด้วยเกล็ดเล็ก ๆ ซ้อนทับกันเป็นแถวตามแนวยาวของเส้นผม หากเกล็ดเหล่านี้เปิดออกจะทำให้เส้นผมดูแห้งกร้าน ไม่เรียบลื่น
  2. คอร์เทกซ์ (Cortex) – ชั้นกลาง ประกอบด้วยเส้นใยโปรตีนเรียงตัวกันแบบอัดแน่น ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่เส้นผม และมีเม็ดสีเมลานินที่กำหนดสีของเส้นผม
  3. เมดุลลา (Medulla) – ชั้นในสุด  เป็นชั้นในสุดของเส้นผม มีลักษณะคล้ายท่อขนาดเล็กเรียงตัวกัน 3-4 ชั้น ซึ่งเกิดจากโปรตีนและไขมัน ส่วนมากจะพบในผมเส้นใหญ่ หรือผู้ที่มีสภาพผมแข็งแรง

รากผม(Hair root)

รากผม คือส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังศีรษะ ทำหน้าที่สร้างและผลิตเส้นผมใหม่ขึ้นมาแทนที่เส้นเก่าที่หลุดร่วงไป โดยโครงสร้างของรากผมจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้

  1. ต่อมรากผม (Hair Follicle) เป็นช่องเล็ก ๆ ที่ลึกลงไปในชั้นหนังแท้ของศีรษะ ภายในต่อมจะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเส้นผม
  2. กระเปาะผม (Hair Bulb) เป็นส่วนปลายของรากผมที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมนูน ประกอบด้วยเมทริกซ์เซลล์ (Matrix Cells) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่จะแบ่งตัวและเจริญเติบโตกลายเป็นเส้นผม

รากผมและวงจรชีวิตของเส้นผม

เส้นผมเจริญเติบโตจากรากผม (Hair Follicle) ที่ฝังอยู่ในหนังศีรษะ มีเส้นเลือดและต่อมไขมันคอยหล่อเลี้ยง วงจรชีวิตของเส้นผมแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่

  1. ระยะเจริญเติบโต (Anagen Phase) – ช่วงที่เส้นผมงอกยาวอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลานาน 2-7 ปี
  2. ระยะหยุดเจริญเติบโต (Catagen Phase) – ระยะเปลี่ยนผ่านที่เส้นผมหยุดการเจริญเติบโต กินเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
  3. ระยะหลุดร่วง (Telogen Phase) – ช่วงที่เส้นผมเก่าหลุดออก และมีเส้นผมใหม่ขึ้นมาแทนที่ ใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือน

หนังศีรษะและการทำงานของต่อมไขมัน

หนังศีรษะมีต่อมไขมัน (Sebaceous Gland) ทำหน้าที่ผลิตน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของเส้นผม หากต่อมไขมันทำงานผิดปกติอาจส่งผลให้หนังศีรษะมีปัญหา เช่น

  • หนังศีรษะมันเกินไป – อาจทำให้เกิดรังแค ผมลีบแบน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดสิวที่หนังศีรษะ
  • หนังศีรษะแห้งเกินไป – ทำให้เกิดอาการคัน ลอกเป็นขุย หรือมีรังแคแห้ง
  • หนังศีรษะอักเสบ – อาจเกิดจากเชื้อรา ภูมิแพ้ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม

ปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะ

สุขภาพของเส้นผมและหนังศีรษะได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ได้แก่

  • โภชนาการ – การขาดสารอาหาร เช่น ธาตุเหล็ก โปรตีน ไบโอติน และโอเมก้า-3 อาจทำให้ผมร่วงหรือผมแห้งเสีย
  • ฮอร์โมน – ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) มีผลต่อการหลุดร่วงของเส้นผม โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะศีรษะล้านแบบพันธุกรรม, ฮอร์โมนเอสโตรเจน( Estrogen)ลดลง เช่น ภาวะวัยทอง
  • ความเครียด และการเจ็บป่วย– ส่งผลให้เส้นผมเข้าสู่ระยะหลุดร่วงเร็วกว่าปกติ
  • การใช้สารเคมีและความร้อน – การทำสี ดัด ยืด หรือใช้ความร้อนสูงบ่อย ๆ อาจทำให้เส้นผมแห้งเสียและเปราะขาด
  • การทำความสะอาด – การสระผมบ่อยเกินไปหรือใช้แชมพูที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้หนังศีรษะเสียสมดุล

การดูแลเส้นผมและหนังศีรษะอย่างถูกต้อง

เพื่อสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะที่ดี ควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้

  1. เลือกแชมพูและครีมนวดที่เหมาะสม – สำหรับผู้ที่มีปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะ ควรเลือกแชมพูที่ปราศจากสารที่ก่อการระคายเคือง เช่น ปราศจากสารซัลเฟต(Sulfate-free), ปราศจากน้ำหอมสังเคราะห์(Synthetic perfume-free) ปราศจากสารกันเสียชนิดเคมี
  2. สระผมอย่างเหมาะสม – ตามสภาพของหนังศีรษะและกิจวัตรประจำวัน เช่น เหงื่อออกหรือถูกฝุ่นมากควรสระผมทุกวัน
  3. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีบ่อยเกินไป – หากจำเป็นต้องทำสีผมหรือใช้สารเคมี ควรใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ช่วยลดการระคายเคือง
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ – ควรบริโภคอาหารที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงเส้นผม
  5. ดูแลสุขภาพโดยรวม – ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียด

สรุป

เส้นผมและหนังศีรษะเป็นส่วนสำคัญที่ควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การเข้าใจโครงสร้างและวงจรชีวิตของเส้นผม รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพหนังศีรษะ จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีดูแลได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เส้นผมแข็งแรง เงางาม และปราศจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

หากคุณมีปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือหนังศีรษะผิดปกติ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

A New Hope for Rosacea Sufferers: The Power of Botulinum Toxin

ภาษาไทย Article by DR. Piyawat POOMSUWAN

Rosacea is a chronic skin condition that causes redness, swelling, and visible blood vessels on the face, significantly impacting patients’ confidence and quality of life.

While there are various treatment options available, the use of Botulinum Toxin (Botox) has emerged as a promising and effective solution for alleviating rosacea symptoms.

Findings from Research on Botulinum Toxin

  • A systematic review on the use of botulinum toxin for rosacea demonstrated its effectiveness in reducing redness, inflammation, and dilated blood vessels associated with the condition.
  • Patients who received the treatment reported noticeable improvements in both symptoms and overall skin appearance.

 

Treatment and Safety

  • Botulinum toxin treatment is highly safe.
  • Side effects are mild and temporary, such as slight swelling or bruising at the injection site, which typically resolve quickly.
  • The therapeutic effects of botulinum toxin can last for up to 3 months, making it a long-lasting option for managing rosacea.

 

Benefits of Botulinum Toxin for Rosacea

  • Reduction of Redness and Inflammation: Restores the skin’s normal appearance by addressing vascular issues.
  • High Safety Profile: Minimal and self-limiting side effects.
  • Long-Lasting Results: Improvements can persist for up to 3 months post-treatment.

 

 

Precautions

While botulinum toxin has shown great promise, it is crucial to consult a medical professional to determine the suitability of the treatment for each individual and ensure it is administered safely.

 

Conclusion:

  • Botulinum toxin is an effective and innovative treatment for rosacea, offering significant improvements in symptoms such as redness, inflammation, and dilated blood vessels.
  • It not only enhances skin appearance but also boosts patients’ confidence and overall quality of life.
  • Since this is not general Botox injection, highly recommended to consult a specialized and experienced physician.

A New Hope for Rosacea Sufferers: The Power of Botulinum Toxin

English

บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

โรซาเซีย (Rosacea) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ทำให้เกิดอาการแดง ผิวบวม และหลอดเลือดขยายในบริเวณใบหน้า โดยมีผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การรักษาโรซาเซียมีหลายวิธี แต่การใช้ โบทูลินั่มท็อกซิน (Botulinum Toxin) หรือ Botox กำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการต่าง ๆ ของโรคนี้

ผลการศึกษาจากการใช้โบทูลินั่มท็อกซิ

จากการศึกษาระบบเกี่ยวกับการใช้โบทูลินั่มท็อกซินในการรักษาสิวโรซาเซีย พบว่า

  • โบทูลินั่มท็อกซินสามารถช่วยลดอาการแดงและการอักเสบ รวมถึงช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือดที่ทำให้ใบหน้าดูแดงกว่าปกติ
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษารายงานว่ามีการปรับปรุงทั้งในด้านการลดอาการและการมองเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังการรักษา

การรักษาและความปลอดภัย

  • การรักษาด้วยโบทูลินั่มท็อกซินมีความปลอดภัยสูง
  • อาการข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่จะเป็นอาการชั่วคราว เช่น บวมและรอยช้ำที่บริเวณที่ฉีดยา ซึ่งสามารถหายได้เองในเวลาไม่นาน
  • ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้โบทูลินั่มท็อกซินยังสามารถอยู่ได้นานถึง 3 เดือน

ข้อดีของการใช้โบทูลินั่มท็อกซินในการรักษาสิวโรซาเซีย

  • ลดอาการแดงและการอักเสบ: ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เสียหายจากการขยายตัวของหลอดเลือด
  • ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง: อาการข้างเคียงจะหายได้เอง
  • ผลลัพธ์ที่ยาวนาน: ผลการรักษาสามารถอยู่ได้ถึง 3 เดือน

ข้อควรระวัง

แม้ว่าการใช้โบทูลินั่มท็อกซินจะมีผลลัพธ์ที่ดีในการรักษาสิวโรซาเซีย แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษาเพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล

สรุป:

  • การใช้โบทูลินั่มท็อกซินเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวโรซาเซีย โดยสามารถลดอาการต่าง ๆ เช่น การขยายตัวของหลอดเลือดและการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยฟื้นฟูความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจน
  • เนื่องจากไม่ใช่การฉีดแบบปกติจึงควรปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญในการรักษา

ผมบางบริเวณขมับในผู้หญิง

English บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

ลักษณะอาการ:

  • ผมบางบริเวณขมับโดยไม่ถึงขั้นล้าน เผยให้เห็นหน้าผากมากขึ้นเมื่อเสยผมกลับไป
  • เส้นผมค่อยๆ บางลงและเล็กลง
  • เส้นผมมีระยะห่างระหว่างกันมากขึ้น แต่ไม่หลุดร่วงจนหมด

อายุ:

  • มักเกิดขึ้นตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป

ประวัติครอบครัว:

  • ไม่จำเป็นต้องมีประวัติในครอบครัว แต่ในกรณีที่มีประวัติในครอบครัว มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่า

ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ:

  • ผลตรวจเลือดมักปกติ และไม่มีปัญหาสุขภาพแอบแฝง

สาเหตุ:

  • เชื่อว่าผมบางประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งแตกต่างจากผมบางจากกรรมพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน)

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์:

  • ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทในการเจริญเติบโตของเส้นผม
  • ความหนาแน่นของเส้นผมลดลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยความหนาแน่นของเส้นผมจะสูงสุดในช่วงอายุ 20–30 ปี และลดลงหลังจากนั้น
  • เส้นผมจะเล็กลงเมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
  • จำนวนเส้นผมลดลงอย่างชัดเจนหลังอายุ 40 ปี

Thinning Hair on Temporal area in Female

ภาษาไทย Article by Dr.Piyawat POOMSUWAN

Symptoms:

  • Thinning at the temporal area without complete baldness, revealing more forehead when hair is brushed back.
  • Hair gradually becomes thinner and finer.
  • Hair shafts appear more spaced apart but do not fall out completely.

Age:

  • Often occurs from the age of 35 and older.

Family History:

  • It is not necessary to have a family history, but it trends to have more severity in family history cases.

Lab:

  • Blood tests are usually normal, and there are no underlying health issues.

Cause:

  • This type of hair thinning is believed to be related to changes in female hormones, particularly estrogen. This differs from hereditary hair loss, which is linked to male hormones (androgens).

Scientific Findings:

  • Estrogen plays a role in hair growth.
  • Hair density decreases with age, peaking between the ages of 20–30 and declining thereafter.
  • Hair shafts become finer as estrogen levels drop.
  • The number of hair shafts significantly decreases after the age of 40.

Piyawat Clinic Signature Hair Treatment

日本
บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ

“การรักษาที่เพิ่มทั้งเส้นผมและสมรรถภาพ”

ใครเหมาะที่จะรักษา

  • ผมร่วงผมบางจากพันธุกรรม(AGA: Androgenetic Alopecia)
  • หลังจากปลูกผม(Hair transplantation) เพื่อดูแลทั้งเส้นผมเดิมและเส้นผมที่ปลูกใหม่โดยไม่ต้องกินยา
  • ต้องการหยุดยาที่กินรักษาเส้มผม เช่น Finasterile ซึ่งมีผลข้างเคียง
  • ผมร่วงหลังคลอด
  • ผมร่วงหลังเจ็บป่วย
  • ผมร่วงจากโรคประจำตัว
  • คนที่มีปัญหาจากการรักษาเดิม

รักษาอย่างไร

  • Hair Laser: ไม่เจ็บและปลอดภัยด้วยเครื่องที่ผ่านการรับรองจากUSFDA
  • Mesotherapy: ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ 100%
  • Home-used lotion: ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ 99%
  • Organic Shampoo: ปราศจากที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น ซัลเฟต น้ำหอม สารกันบูด
  • ยาบำรุงผลิตจากธรรมชาติ100%
    • Blood tonic: ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดสู่รากผม
    • Tonic capsule: ใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อมจากผลข้างเคียงของยาที่เคยใช้มาก่อน
  • Natural hair spray ลดการระคายเคืองสำหรับคนทำสีผม
  • Hair microscope: เพื่อตรวจดูหนังศีรษะทุกครั้งที่รับการรักษา

ผลการรักษา

  • เห็นผมขึ้นใหม่ด้วยกล้องmicroscope ภายใน 3 สัปดาห์
  • ค่อยๆหยุดยาเคมีที่กินมาก่อนรักษาได้ และฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย
  • กรณีคนไข้ปลูกผมมาแล้ว การรักษาจะช่วยให้ผมที่ปลูกมาโตได้ดีขึ้น พร้อมกับมีผมขึ้นใหม่เพิ่มขึ้น และป้องกันผมเก่าที่มีอยู่บางลง

หากคุณมีปัญหาผมร่วงผมบาง หรือ มีประสบปัญหามีผลข้างเคียงจากการรักษา ลองมาปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและแนวทาการรักษาที่เหมาะสม

MicroBotox

日本
บทความโดย นพ.ปิยะวัฒน์ ภูมิสุวรรณ  พญ.ทิวานันท์ พรหมวรานนท์

MicroBotox เพื่อยกกระชับใบหน้าและแก้ปัญหาริ้วรอย

MicroBotox คืออะไร?

MicroBotox คือ เทคนิคการฉีด Botox เป็นตุ่มเล็กๆหลายๆจุด โดยฉีดเข้าไปที่ชั้นหนังแท้ เป็นเทคนิคที่ใช้กันมานานกว่า 20 ปี โดยความเข้มข้นของตัวยาจะน้อยกว่าเทคนิคปกติที่ฉีดกัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาธรรมชาติและหน้าไม่แข็งจนเกินไป

 

MicroBotox รักษาปัญหาใดได้บ้าง?

  • รักษาริ้วรอยและร่องถาวรตื้นๆได้ทั่วใบหน้าและลำคอ
  • ยกกระชับใบหน้า
  • Nefertiti lift (เทคนิคการฉีดเพื่อทำให้กรอบหน้าชัดขึ้น แก้ปัญหาลำกล้ามเนื้อที่คอ และริ้วรอยที่คอ)
  • รักษาภาวะเหงื่อออกมาก เช่น ที่บริเวณใต้วงแขน
  • รักษาโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคหน้าแดง rosacea, ผิวหนังมัน

 

ข้อดีของ MicroBotox

  • ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
  • ผลข้างเคียงน้อย และป้องกันการเกิดหน้าแข็งดูไม่เป็นธรรมชาติ
  • ใช้รักษาในตำแหน่งที่เทคนิคปกติไม่สามารถทำได้
  • แพทย์ผู้มีประสบการณ์สามารถใช้เทคนิคนี้ในการยกกระชับใบหน้าได้

 

ข้อเสียของ MicroBotox

  • ผลการรักษาอยู่ได้สั้นกว่าเทคนิคปกติ โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน
  • ผลการรักษาขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีด

 

ที่ปิยะวัฒน์คลินิก เรามีแพทย์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานในการฉีด Botox ทั้งเทคนิคปกติ และ MicroBotox โดยเราใช้ทั้ง 2 เทคนิคในการฉีดเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติมากที่สุด


Article by Dr. Piyawat POOMSUWAN, Dr. Tiwanan PROMVARANON

MicroBotox Facial lifting and wrinkle treatment

What is MicroBotox?

Microbotox is the administration of multiple microdroplets of botulinum toxin in intradermal plane. Microbotox technique has been used over 20 years. The original microbotox technique use lower concentration of botulinum toxin than the conventional technique for natural looking result and for preventing frozen face appearance,

 

What can MicroBotox be used for?

  • Treat wrinkle and fine line on the whole face and neck.
  • Face lifting.
  • Nefertiti lift (Sharpen Jaw line+ Improve neck band+Reduce neck wrinkle)
  • Treat excessive sweating (Hyperhidrosis) such as underarm sweating.
  • Traet some skin condition such as Rosacea, Seborrhea.

 

What are the advantage of Microbotox?

  • Natural looking appearance.
  • Less side effects and Preventing frozen face appearance.
  • Can be used in area that the conventional technique cannot be injected.
  • Experience doctor can use Microbotox for facial lifting.

What are disadvantage of Microbotox?

  • Shorter effect than the conventional technique. Average effect last 2-3 months
  • The treatment result depends greatly on doctor experience.

At Piyawat clinic, our doctors have long-term experience in both conventional and microbotox technique. We always combine both technique for the best natural looking result.

MicroBotox(日本)

English: scroll down
ภาษาไทย

マイクロボトックス

顔のリフティングとシワ改善

 

マイクロボトックスとは?

 

マイクロボトックスとは、皮膚の浅い箇所へボトックスを注入することです。この技術は20年以上使用されています。当院のオリジナルマイクロボトックス技術は、通常よりも少ないユニット数を使用し、自然な仕上がりで顔の表情がなくならないように工夫しています。

 

マイクロボトックスは何に効果的?

 

  • 顔全体と首のしわや小じわの治療
  • 顔のリフトアップ
  • ネフェルティティリフト

  広頚筋にボトックスを注入することで、たるみや気になる首の縦ジワを改善

  • 脇汗などの過度の発汗(多汗症)を抑制
  • 酒さ、脂漏症などの皮膚疾患の治療

 

マイクロボトックスのメリットは?

 

  • 自然な仕上がり
  • 副作用が少ない
  • 従来技術では注入できなかった部位にも使用可能
  • 顔のリフトアップ (経験のある医師しかできない)

 

マイクロボトックスのデメリットは?

 

  • 通常のボトックス注射に比べ効果が短い

  平均効果は2~3ヶ月持続します

  • 医師の経験により結果が大きく左右されます

 

 

 ピヤワットクリニックの医師は、従来のボトックスとマイクロボトックス技術の両方において長年の経験があります。最も自然に見える結果を得るために、私たちは常に両方の技術を組み合わせて行います。

What is MicroBotox?

Microbotox is the administration of multiple microdroplets of botulinum toxin in intradermal plane. Microbotox technique has been used over 20 years. The original microbotox technique use lower concentration of botulinum toxin than the conventional technique for natural looking result and for preventing frozen face appearance,

 

What can MicroBotox be used for?

  • Treat wrinkle and fine line on the whole face and neck.
  • Face lifting.
  • Nefertiti lift (Sharpen Jaw line+ Improve neck band+Reduce neck wrinkle)
  • Treat excessive sweating (Hyperhidrosis) such as underarm sweating.
  • Traet some skin condition such as Rosacea, Seborrhea.

 

What are the advantage of Microbotox?

  • Natural looking appearance.
  • Less side effects and Preventing frozen face appearance.
  • Can be used in area that the conventional technique cannot be injected.
  • Experience doctor can use Microbotox for facial lifting.

What are disadvantage of Microbotox?

  • Shorter effect than the conventional technique. Average effect last 2-3 months
  • The treatment result depends greatly on doctor experience.

At Piyawat clinic, our doctors have long-term experience in both conventional and microbotox technique. We always combine both technique for the best natural looking result.